ในปี 2021 หุ้นจีนโดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยีของจีนมีมูลค่าหุ้นลดลงเรื่อยๆ หุ้นหลายๆตัวตกตั้งแต่ 30-90% จากจุดสูงสุด หลายๆท่านถามมาว่ามันคือ วิกฤติ หรือว่าเป็นโอกาสในการเข้าไปซื้อในราคาที่ถูกกันแน่?
ขอเล่าความเป็นมาลักษณะของประเทศจีนกันก่อน ถึงแม้ประเทศจีนจะมีลักษณะการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ก็จริง แต่ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา จีนมีระบบเศรษฐกิจแบบเสรีหรือที่เรียกว่าทุนนิยมทั่วไป โดยที่มีการกีดกันธุรกิจจากนอกประเทศบางอย่างไม่ให้เข้าไปทำธุรกิจในประเทศจีน ดังที่เราเห็นว่า ประเทศจีน ไม่มี YouTube Google Amazon Facebook Netflix แต่มีเว็บไซต์หรือแอปที่เป็นของจีนเองแทนที่ เนื่องจากรัฐบาลจีนเห็นความสำคัญเรื่องข้อมูลของคนในประเทศอย่างมากจึงไม่อนุญาตให้บริษัทเทคโนโลยีจากต่างประเทศเข้าไปทำการค้าในประเทศได้นัก นอกจากบริษัทเทคโนโลยีแล้ว ระบบการจ่ายเงินของจีนก็มีลักษณะที่ค่อนข้างเฉพาะ โดยปกติประเทศต่างๆ เรามักจะใช้ Visa หรือ Master เป็นระบบหลัก แต่ในจีนเราแทบจะไม่สามารถใช้ระบบพวกนี้ได้เลย เราจะเจอ Alipay หรือ WeChat Pay ซึ่งเป็นระบบของบริษัทในจีนเอง ทำให้ข้อมูลต่างๆของคนจีนอยู่ในบริษัทจีนเป็นหลัก
แต่หลังจากที่บริษัทเทคโนโลยีในจีนเหล่านี้เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ก็ได้นำบริษัทตัวเองและบริษัทลูกต่างๆ เข้าไปซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาด NASDAQ ของอเมริกาเป็นจำนวนมาก ทำให้บริษัทจีนเหล่านั้นระดมทุนได้มากมายมหาศาล และได้เติบโตทางด้านมูลค่าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสิ่งที่น่าสังเกตและน่าสนใจอย่างมากก็คือ ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทจีนเหล่านี้ในปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นกองทุน แต่กองทุนเหล่านี้มักจะเป็นกองทุนของคนนอกประเทศจีน โดยเฉพาะกองทุนของอเมริกา ซึ่งเท่ากับว่าเงินของคนอเมริกาได้เข้าไปถือหุ้นในบริษัทจีนไว้เป็นอย่างมาก ส่วนผู้ก่อตั้งของบริษัทจีนเหล่านี้ มักจะมีหุ้นไม่มากนักหรือบางทีก็มีการขายหุ้นโดยตรงหรือเอาหุ้นตัวเองไปจำนองซึ่งเป็นวิธีการขายแบบหลบเลี่ยงภาษีที่นิยมอย่างมาก ในหลายๆบริษัท นั่นหมายความว่าผู้ถือหุ้นหรือเจ้าของบริษัทจีนเหล่านี้จริงๆแล้วก็คือคนอเมริกานั่นเอง สิ่งนี้ได้สร้างความน่ากังวลใจให้กับประเทศจีนหรือรัฐบาลจีนหลายอย่าง อาทิเช่น
1. บริษัทในจีนเหล่านี้เริ่มผูกขาดธุรกิจในจีนซะเอง ซึ่งแต่เดิมจีนไม่ให้คนต่างชาติเข้ามาผูกขาดในประเทศซึ่งรัฐบาลเองก็ไม่สามารถยอมให้บริษัทจีนผูกขาดในประเทศได้เช่นกัน อันที่จริงๆแล้วในทุกๆประเทศก็มีความพยายาม ป้องกันการผูกขาดของบริษัทต่างๆในประเทศเพียงแค่อำนาจของรัฐบาลแต่ละประเทศในการจัดการมีไม่เท่ากัน
2. บริษัทจีนเหล่านี้ ซื้อขายในตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดหุ้น NASDAQ ของอเมริกาเป็นหลัก ทำให้บริษัทเหล่านี้โดนตรวจสอบโดยระบบของอเมริกา ซึ่งอาจเป็นผลให้ประเทศอเมริกาสามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญของคนจีนทั้งประเทศได้อย่างง่ายดาย ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลจีนยอมไม่ได้
3. ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทเทคโนโลยีจีนหลังจากเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดต่างประเทศ คือกองทุนหรือเงินกองทุนประกันสังคมของคนอเมริกาเป็นจำนวนมาก ซึ่งหากบริษัทจีนเหล่านี้เติบโตด้วยการหากินกับคนในประเทศจีน คนจีนที่ได้ประโยชน์จะมีไม่มากนัก กลับกันความร่ำรวยอาจกลายเป็นคนอเมริกา และหากผู้ถือหุ้นใหญ่เหล่านั้นต้องการให้เปิดเผยข้อมูลต่างๆของบริษัท ซึ่งเป็นความลับของคนจีนก็สามารถทำได้อย่างง่ายดาย
4. คนจีนในยุคหลังทำงานหนักอย่างมาก หลายๆคนโดยเฉพาะคนชั้นกลางมักจะต้องทำงานในบริษัทซึ่งมักจะต้องการให้ทำงานวันละ 12 ชั่วโมง และทำงาน 6 วันต่อสัปดาห์ ซึ่งทำให้คุณภาพชีวิตของคนจีนเริ่มมีปัญหาอย่างร้ายแรง
5. ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตรสูงมาก โดยเฉพาะค่าเล่าเรียนหรือค่าเรียนพิเศษเพื่อที่จะทำให้ลูกสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงเพื่อจะได้เงินเดือนสูงๆ ทำให้คนจีนเริ่มไม่อยากมีลูก และมีการประมาณการณ์ว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปในระยะยาวประเทศจีนจะเริ่มมี ปัญหาเรื่องประชากรแทน และถึงแม้ว่ารัฐบาลจะพยายามผ่อนปรนการมีลูกหลายๆอย่างทางนโยบายก็ไม่เป็นผลนัก เพราะคนจีนเริ่มไม่มั่นใจว่าจะสามารถเลี้ยงดูบุตรไหว
6. ครูที่มีความสามารถในระบบของรัฐลาออกเพื่อไปอยู่กับสถาบันสอนพิเศษจำนวนมาก โดยบริษัทสอนพิเศษบางบริษัท ยกตัวอย่าง Tal Education Group เคยมีมูลค่าสูงสุดกว่า 1.5 ล้านล้านบาท ซึ่งมีมูลค่าสูงกว่าบริษัทอย่าง ปตท. ซึ่งเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในไทยซะอีก ทำให้ระบบการศึกษาในประเทศจีนมีปัญหาอย่างร้ายแรง
ในช่วงปลายปี 2020 รัฐบาลจีนจึงมีการกระทำการหลายอย่างและมีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดในประเทศจีน เพื่อหยุดการผูกขาด เพิ่มคุณภาพชีวิตคนจีน ป้องกันข้อมูลของคนในประเทศรั่วไหล และป้องการการตรวจสอบจากประเทศอเมริกา เราลองมาดูกันว่า รัฐบาลทำอะไรเหล่านั้นบ้าง
1. ในช่วงปลายปี 2020 ห้ามไม่ให้ Ant Group ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ Alibaba เข้าตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ ของอเมริกา และสั่งปรับ Alibaba เป็นเงิน 2.8 Billion USD โทษฐานที่ผูกขาดการค้า โดยให้เหตุว่า Alibaba มีการกีดกันไม่ให้ผู้ที่ขายใน Platform ตัวเองไปขายของที่ Platform อื่นๆ ส่วนทางด้าน แจ็ค หม่า นั้น ก็ได้หายจากสื่อไปอย่างลึกลับ
2. เริ่มมีการพูดถึงนโยบายของ Digital Yuan ซึ่งอาจจะมาแทน Payment ระบบต่างๆในประเทศ ซึ่งอาจจะทำให้รัฐบาลเป็นเจ้าของธุรกิจ Payment ในประเทศแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งอาจกระทบต่อ Alipay ของ Alibaba ในอนาคตอย่างมาก
3. รัฐบาลมองว่าข้อมูลของคนจีนเป็นของประเทศจีนไม่ใช่ของบริษัทใดบริษัทหนึ่ง ซึ่งอาจทำให้ Ant Group ซึ่งมีข้อมูลทางการเงินและนำข้อมูลนี้ไปปล่อยกู้อาจต้องเปิดเผยข้อมูลทั้งหมด
4. ออกนโยบายให้ธุรกิจสอนพิเศษไม่สามารถทำกำไรได้ และอาจต้องถูกปรับเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรเป็นเหตุให้บริษัท สอนพิเศษที่เคยมีมูลค่าหลักล้านล้านบาท หุ้นตกลง 90%
5. มีนโยบายว่า เกมส์คือสารเสพติดประเภทหนึ่ง และจำกัดการเล่นเกมส์ของเยาวชนไม่ให้เกิน 3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ โดยเล่นได้เพียงวันศุกร์ เสาร์และอาทิตย์ เพียงวันละ 1 ชั่วโมง เป็นผลให้บริษัทเกมส์ต่างๆ หุ้นตกลงอย่างมาก
6. ระงับการเข้าซื้อขายของบริษัทที่จะเข้าไปจดทะเบียนในตลาดต่างประเทศ ทำให้บริษัทจีนที่เตรียมจะไปจดทะเบียนในต่างประเทศไม่สามารถไประดมทุนได้
7. สั่งให้ Google Play Store และ App Store ลบแอป DiDi ซึ่งเป็นแอปเรียกแทกซี่อันดับ 1 ในจีนทันที หลังจากที่ DiDi เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ ได้ไม่ถึงอาทิตย์ เนื่องจากแจ้งว่าอาจผิดกฎเรื่องเกี่ยวกับการเอาข้อมูลคนจีนไปใช้ในทางที่ผิดกฎหมายเป็นผลให้ DiDi ราคาร่วงลงอย่างรุนแรง
8. Alibaba โดนบีบให้ขายหุ้นในบริษัทเกี่ยวกับสื่อ ซึ่งทาง Alibaba ได้มีการซื้อหุ้นเกี่ยวกับสื่อต่งๆในจีนอย่างต่อเนื่องจำนวนมาก ซึ่งอาจจำเป็นต้องขายทั้งหมดและขายในราคาที่อาจจะขาดทุนอย่างมากเพราะตลาดหุ้นจีนได้ตกลงอย่างมากจากนโยบายต่างๆเหล่านี้
9. บังคับให้ทุกๆ Platform ต้องเปิดข้อมูลหรือวางลิงค์ของ Platform อื่นได้ ซึ่งทำให้แต่ละ Platform สูญเสียกำแพงในการผูกขาดของตัวเองไปอย่างมาก
10. บริษัทหลายๆบริษัทเริ่มพยายามปรับตัวด้วยการบริจาคเงินหรือกำไรเพื่อสนับสนุนนโยบายจัดระเบียบสังคมนี้ เพื่อพยายามลดกระแสการผูกขาดของตัวเอง
11. China Evergrande Group ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์อันดับ 2 ของประเทศจีน มีแนวโน้มที่จะผิดนัดชำระหนี้และอาจจะล้มละลาย ส่งผลให้หุ้นตกลงจากจุดสูงเมื่อปี 2017 แล้วกว่า 90% และทำให้หลายๆคนเริ่มเป็นห่วงเรื่องการลดลงของราคาอสังหาริมทรัพย์ในจีนหรือวิกฤติอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบใหญ่ต่อประเทศอย่างมาก
เพื่อนๆคงพอเห็นภาพแล้วว่า รัฐบาลจีน ได้พยายามจัดระเบียบต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาเรื่องข้อมูลของคนในประเทศ ความเหลื่อมล้ำ การผูกขาดของบริษัทใหญ่ และเพิ่มการเข้าถึงการแข่งขันอย่างเท่าเทียม ขอบอกไว้ก่อนว่าทีมงาน Frisbee ไม่ได้บอกว่าสิ่งที่ทางการจีนทำถูกหรือผิด แต่อยากจะนำเสนอว่าการกระทำของเขามีที่มาที่ไป และได้รับการสนับสนุนจากคนในประเทศเป็นจำนวนมาก โดยทางการจีนมองว่าเขาทำสิ่งเหล่านี้เพื่อประโยชน์ระยะยาวของคนจีนและประเทศจีน แล้วเราล่ะในฐานะนักลงทุนควรทำอย่างไร มันคือวิกฤติหรือว่าโอกาสกันแน่ ขอย้อนกลับไปที่คำว่า การลงทุนก่อนว่าคืออะไร ถ้าเรานิยามการลงทุนตามแบบฉบับของ การลงทุนแบบเป็นเจ้าของกิจการ ต้องบอกว่าการลงทุนสิ่งสำคัญข้อแรก คือการที่เราสามารถป้องกันผลการขาดทุนในระยะยาว พูดง่ายๆคือโครงสร้างบริษัทต้องไม่กระทบในระยะยาว
เราลองมาดูกันว่าในช่วงที่ผ่านมากราฟราคาหุ้นของบริษัทใหญ่ๆของจีนเป็นอย่างไรกันบ้าง
ถ้าเราลองดูสิ่งที่ทางการจีนทำนั้นกระทบกับโครงสร้างของบริษัทต่างๆในระยะยาวหรือไม่คำตอบคือ ใช่ แต่กระทบขนาดไหนอันนี้บอกได้เลยว่าต้องประเมินเป็นรายตัวไป และที่ทำสำคัญเรายังไม่มีใครที่จะสามารถประเมินผลกระทบที่จะเกิดในอนาคตได้ชัดเจนเพราะว่าเราไม่รู้ว่าทางการจีนจะมีนโยบายออกมาอีกแค่ไหน ที่แน่ๆก็คือเป็นจีนจำเป็นต้องแก้ปัญหา การผูกขาด ฐานข้อมูล และความเป็นอยู่ของคนในชนชั้นกลางให้ได้ก่อนถึงจะหยุดมาตรการเหล่านี้ได้ เราขอแนะนำดังนี้
1. ผลกระทบครั้งนี้กระทบในทางโครงสร้างและมูลค่าของกิจการในระยะยาวแน่นอน ลองคิดดูว่าถ้าบริษัทสอนพิเศษถูกห้ามทำกำไร มันกระทบขนาดไหน DiDi โดนลบแอปออกจากมือถือกระทบไหม ดังนั้นคนที่บอกว่าไม่กระทบคงเป็นคนที่ไม่ได้เข้าใจสิ่งที่ทางการจีนกระทำมากพอ
2. ราคาถูกแล้วเข้าซื้อได้มั๊ย ต้องบอกว่าถูกแพงตอนนี้ต้องประเมินใหม่ทั้งหมด เพราะโครงสร้างเปลี่ยนไปแล้วแนวทางธุรกิจในอนาคตอาจเปลี่ยนไปอย่างมาก จะเอาสิ่งที่มองแบบเดิมมาประเมินคงไม่ได้
3. ถ้าคุณอ่านบทความนี้แล้วรู้สึกว่าคุณได้ความรู้เราแนะนำให้คุณอย่าเข้าซื้อหุ้นจีนโดยเด็ดขาดเพราะบทความที่เราเขียนเป็นเพียงการสรุปเรื่องราวเบื้องต้น หากคุณรู้น้อยกว่าบทความนี้คุณรู้จักประเทศจีนหรือธุรกิจในจีนน้อยมากแล้วล่ะ
4. หากคุณอยากลองลงทุนในหุ้นจีนเราแนะนำให้คุณลงทุนโดยใช้ ETF หรือกองทุนอิงดัชนีจีน และค่อยๆซื้อโดยการใช้วิธีที่เรียกว่า DCA หรือ Dollar Cost Average คือการซื้อไปเรื่อยๆ อาจจะปีละครั้งหรือเดือนละครั้งแล้วแต่การวางแผนการลงทุน หรือถ้าอยากซื้อหุ้นเป็นรายตัวเราแนะนำให้ซื้อหุ้นจีนเป็นส่วนที่ไม่มากนักของพอร์ตการลงทุนของคุณ
5. การที่เราประเมินผลกระทบอนาคตได้ยาก เราไม่สามารถตอบได้ว่าสิ่งนี้เป็นวิกฤติหรือโอกาส เราบอกได้เพียงแค่ว่าถ้าเราซื้อสินทรัพย์ที่เราไม่สามารถคาดเดาได้สิ่งนั้นน่าจะเรียกว่า การพนันมากกว่าการลงทุน เราไม่ได้บอกว่าคุณจะขาดทุนในระยะยาว ถ้าคุณแทงพนันคุณอาจจะได้เงินก็ได้เสียเงินก็ได้ แต่คุณคาดเดาไม่ได้ต่างกับการลงทุนซึ่งเราจะใช้ความรู้ในการจำกัดความเสี่ยงได้
6. ข้อแนะนำเพิ่มเติม ถ้าอยากซื้อหุ้นจีนเราแนะนำให้คุณลองเดินทางไปจีนหลายๆครั้ง ยกตัวอย่างใน เสิ่นเจิ้น คุณจะเห็นภาพมหานครอันยิ่งใหญ่ที่มีโครงสร้างชีวิตแตกต่างจากที่อื่นอย่างมาก และคุณจะเห็นส่วนผสมของความล้าหลังอยู่ร่วมกับความทันสมัยอย่างที่คุณอาจจะไม่คิดว่ามันอยู่ในที่ๆเดียวกันได้ ซึ่งจะทำให้คุณเข้าใจและประเมินอะไรได้ดีขึ้นมากๆ
ติดตาม และอ่านบทความอื่นๆของพวกเรา Frisbee & Co. ได้ที่ LINE Official: @frisbee Twitter: @FrisbeeCo Website: frisbeeandco.com
Kommentarer