top of page
  • Writer's pictureFrisbee & Co.

ลงทุนในต่างประเทศกันเถอะ!

Updated: Dec 21, 2021

ในสองสามปีที่ผ่านมา เราได้เห็นนักลงทุนจำนวนมากไปลงทุนในต่างประเทศทั้งที่ไปลงทุนเองหรือบางทีก็ไปซื้อกองทุนในต่างประเทศ ซึ่งตอนนี้ทำได้ง่ายมากๆ และสะดวกมากขึ้นเรื่อยๆ ทาง Frisbee เองได้มีประสบการณ์ในการไปซื้อหุ้นในต่างประเทศด้วยตัวเอง เป็นเวลาประมาณ 7-8 ปีเห็นจะได้ ทีมงานได้เข้าไปลงทุนในหลายตลาดหลักทรัพย์ทั้งในฮ่องกง สิงคโปร์ และอีกหลายตลาดและที่ขาดไม่ได้คือ ตลาด US หลายท่านถามว่าทำไมไปลงทุนที่ต่างประเทศเป็นคำถามที่ถูกถามมาเรื่อยๆเลยว่ามารวบรวมรายละเอียดให้เพื่อนๆเห็นภาพกัน


บริษัทที่น่าสนใจและทุกคนใช้ทั่วโลกส่วนใหญ่มาจากต่างประเทศ

1.ประเทศไทยมีตัวเลือกจำกัด ตลาดหลักทรัพย์บ้านเราตัวเลือกไม่น้อยและขนาดไม่เล็กก็จริงแต่ถ้าเทียบกับโลกใบนี้ หรือถ้าเทียบกับในตลาดของฝั่ง US หรือฝั่งยุโรปแล้วต้องบอกว่าเรายังเทียบเขาไม่ได้เลย ดังนั้นการที่เรามีตัวเลือกที่เยอะกว่าทำให้เราเป็นผู้เลือก ลองนึกภาพว่าจะซื้อหุ้น โรงแรมหรือค้าปลีกที่เป็นหุ้นยอดฮิตในบ้านเรา เรียกว่านับตัวได้มีไม่กี่ตัวให้เลือก ไม่ต้องเป็นนักวิเคราะห์หรือผู้บริหารกองทุนก็แทบจะจำชื่อได้หมดกันทุกคนอยู่แล้ว ในขณะที่พอเรามองไปที่ต่างประเทศ เราจะเจอความหลากหลายมหาศาล และเอาจริงๆบริษัทขนาดใหญ่ก็เข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อเมริกากับยุโรปเกือบหมด ซึ่งมักจะเป็นบริษัทที่เรารู้จักดีกันทั้งนั้น



นอกจาก Instagram, Twitter, Uber, airbnb แล้ว ต่างประเทศก็ยังมีบริษัทอื่นๆหลากหลายที่มีผู้ใช้ทั่วโลกเช่น Application หาคู่อย่าง Tinder และ Grindr


2.เศรษฐกิจบ้านเราเป็นแบบเก่า อันนี้ต้องบอกว่าเรานิยามเองไม่ได้เป็นไปตามหลักเศรษฐศาสตร์อะไร ลองคิดดูง่ายๆว่า หุ้นหรือบริษัทขนาดใหญ่ในบ้านเราก็มีอย่างที่รู้จักกัน CPALL AOT PTT PTTEP PTTOR MINT CPN มักจะวนอยู่กับธุรกิจคล้าปลีก พลังงาน ท่องเที่ยว แต่เราไม่มีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีใหม่ๆ ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนโลกไปตลอดกาล อย่าง Facebook Apple Amazon Netflix Microsoft Google ลองไล่ดูรายชื่อง่ายๆ เราไม่มีและไม่มีวันที่จะมีบริษัทเหล่านั้นในประเทศเรา มีแต่เราต้องเอาของเขามาใช้ ซึ่งต่างจากสมัยก่อนมาก เมื่อก่อนถ้าต่างประเทศมีอะไรประเทศเราจะมีเขาต้องมาตั้งโรงงานตั้งบริษัทในประเทศเราเราถึงจะมีสิ่งนั้น แต่ดูบริษัทต่างๆที่ว่ามา เราเล่น Facebook โดยที่ Facebook ไม่ต้องมาทำอะไรหรือแทบไม่ต้องมาทำอะไรในไทยเลย(ทุกวันนี้คนที่จ่ายเงินค่าโปรโมทให้ Facebook ไม่ได้ VAT ซื้อด้วยซ้ำ เท่ากับว่า Facebook ไม่ต้องจ่าย VAT ให้กับประเทศเราเลย ซึ่งเข้าใจว่าเริ่มมีข่าวว่าทางการไทยเริ่มพยายามจะหาทางเก็บ VAT กับทาง Facebook) แล้วเราใช้ Facebook มากแค่ไหน บอกได้เลยว่ามากกว่าเว็บไทยทั้งหมดรวมกันแน่ๆ




บริษัทที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมบันเทิง ภาพยนตร์ ใหญ่ๆในบ้านเราคือ SF และ Major ส่วนในต่างประเทศมีบริการสตรีมมิ่งชื่อดังมากมาย

หรือถ้าเราอยากดูหนังสมัยก่อนเราต้องเข้าโรงหนังซึ่งอยู่ในประเทศเรา แต่ตอนนี้ด้วยระบบ Streaming เราสามารถดู Netflix ได้ โดยที่เขาไม่ต้องมาทำสัญญากับโรงหนังในบ้านเราเลยแม้แต่โรงเดียว และด้วยเศรษฐกิจสมัยใหม่ได้สร้างบริษัทที่สามารถเปลี่ยนโลกได้ และสามารถขยายไปได้ทั่วโลกโดยที่ไม่ต้องไปตั้งบริษัทในต่างประเทศเลยทำให้บริษัทเหล่านั้นเติบโตได้อย่างรวดเร็วและบริษัทที่เป็นโครงสร้างเก่าไม่สามารถทำได้ เราเลยขอนิยาม บริษัทในเศรษฐกิจใหม่ไว้ว่าคือ บริษัทที่สามารถขยายตัวไปประเทศต่างๆได้โดยที่แทบไม่ต้องใช้เงินลงทุน ซึ่งมักจะประกอบด้วยบริษัทพวกเทคโนโลยีสมัยใหม่หรือว่าพวกที่มี สิทธิทางการค้าพิเศษหรือแบรนด์ที่เข้มแข็งพิเศษมากๆ ซึ่งบ้านเราไม่มีบริษัทเหล่านั้นเลย ส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นบริษัทที่ถือหุ้นโดยภาครัฐ หรือบริษัทเอกชนที่ผูกขาดเพียงในประเทศแต่การขยายตัวออกนอกประเทศต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมากและอาจไม่ประสบความสำเร็จ ซึ่งจะน่าเสียดายขนาดไหนถ้าเราเลือกลงทุนเฉพาะหุ้นในเศรษฐกิจแบบเก่าเท่านั้น




ภาพถ่ายเมื่อ 8 ตุลาคม 2021 ผู้คนต่อแถวหน้า Apple Store ที่ Central World กันมากมาย เนื่องจาก iPhone 13 เปิดจำหน่ายเป็นวันแรก



3.มีความเข้าใจบริษัทมากกว่า ย้ำอีกครั้ง เรามีความเข้าใจในบริษัทต่างประเทศมากกว่า ฟังแล้วงงแต่ยืนยันอีกครั้งว่าไม่ผิด ลองมองสิ่งรอบตัวเรา สิ่งที่เราใช้บางทีไม่ใช่ของในประเทศเลย สมมติง่ายๆว่าคุณเป็นสาวก Apple แน่ๆล่ะคุณจะใช้ iPhone และคอมคุณอาจจะเป็น iMac McBook นาฬิกาคุณอาจจะเป็น Apple Watch คลาวด์ที่ใช้คุณจะเก็บรูปบน iCloud นี่คุณเรียนรู้บริษัทไปเกือบหมดแล้วนะ เทียบกับบริษัทไทยๆที่บางทีคุณอาจจะแทบไม่ได้ใช้บริการเลย คุณอาจจะใช้บริการโรงแรมในเครือ Hilton Marriott มากกว่าเครืออย่าง Anantara หรือ Centara ของไทยและที่แน่ๆ คุณจะใช้บริการการจองโรมแรมจาก Booking.com หรือ Agoda มากกว่าระบบจองทั่วๆไปของประเทศเราแน่ๆซึ่งบางทีนึกไม่ออกด้วยซ้ำว่ามีหรือเปล่า ด้วยความต่อเนื่องมาจากเศรษฐกิจใหม่ทำให้บริษัทระดับโลกเข้ามามีบทบาทในชีวิตเรามากกว่าบริษัทในประเทศเราในหลายๆด้านทำให้เราคุ้นเคยเข้าใจและรู้จักมันดีกว่า




นี่ไม่ได้พูดถึง Facebook และ Google ด้วยซ้ำ คงไม่มีใครกล้าเถียงว่าเราใช้ Facebook IG Line มากกว่า Social Media ของประเทศเราแน่ๆ หรือการค้นหาด้วย Google เราก็ทำมากกว่าใช้ Search Engine ในบ้านเราเองเหมือนกัน (เอาจริงๆนึกไม่ออกด้วยซ้ำว่าเรามีของอย่างนั้นในประเทศเราด้วยหรือถ้าเราไม่ใช้ของเขา)



ค้นหาได้รายงานผลประกอบการณ์หุ้นต่างๆได้ง่ายแค่ Google



4.การเข้าถึงข้อมูลง่ายขึ้น ด้วยการพัฒนาทางอินเตอร์เน็ต เราสามารถฟังบทวิเคราะห์หารายงานประจำปี เอาจริงๆในต่างประเทศนี่ไม่ได้หายากกว่าไทยดีไม่ดีง่ายกว่าด้วยซ้ำ ในบริษัท US ผู้บริหารต้องออกมาพูดทุกไตรมาส ต้องประมาณการณ์ไตรมาสต่อไปตลอดเวลาซึ่งด้วยกฎเหล่านั้นทำให้เราเข้าถึงข้อมูลได้มากกว่าบริษัทในตลาดหุ้นไทยเสียอีก เอาว่าอ่านกันแทบไม่หวาดไม่ไหวแล้วกัน



กองทุน ETF ช่วยให้เรามีโอกาสในการลงทุนต่างประเทศในตลาดชั้นนำ หรือตลาดเกิดใหม่ที่น่าสนใจได้


5.ค่าธรรมเนียมไม่สูง ในประเทศฝั่ง US และยุโรป ตอนนี้โบรคเกอร์ก็ทำราคาแข่งกันเรียกว่าเทรดหุ้นต่างประเทศราคาแทบจะพอๆเทรดหุ้นไทยแล้วในบางตลาดและถ้าคุณเข้าใจระบบคิดค่าธรรมเนียมดีๆบางทีคุณจ่ายค่าธรรมเนียมการซื้อขายน้อยกว่าหุ้นไทยเสียด้วยซ้ำ ส่วนคนที่ซื้อ ETF บอกได้เลยว่า ETF ในต่างประเทศค่าธรรมเนียมต่ำมาก ต่ำกว่ากองทุนในประเทศเราไม่รู้กี่เท่า ซึ่งบางคนอาจจะแย้งว่ากองทุนในประเทศเราเป็นแบบ Active Fund คือต้องใช้ผู้บริหารกองทุน แต่ในความเป็นจริงตอนนี้ที่ฮ็อตมากๆก็คือแบงค์ไทยออกกองทุนที่ไปซื้อกองต่างประเทศหรือ ETF ต่างประเทศอีกที ซึ่งเท่ากับคุณต้องเสียค่าใช้จ่ายในการบริหารสองต่อ ซึ่งจริงๆแล้วกอง ETF จำนวนมากคุณสามารถซื้อเองได้โดยที่ค่าธรรมเนียมต่ำและค่าบริหารกองทุนต่อปีต่ำมากๆ บางกองทุนต่ำกว่า 0.5% ต่อปีเสียอีก เรียกว่าถ้าคุณได้เห็นค่าธรรมเนียมของ ETF ต่างประเทศคุณอาจจะลืมกองทุนไทยไปเลยก็ได้



สกุลเงินที่ได้รับความนิยมสูงสุดในการแลกเปลี่ยน 6 อันดับแรกคือ 1. U.S. Dollar 2. Euro 3. Japanese Yen 4. Great British Pound 5. Canadian Dollar 6. Swiss Franc จัดอันดับโดย Investopedia


6.ค่าเงินและการปกป้องความเสี่ยง หลายๆท่านเป็นห่วงว่าถ้าซื้อหุ้นต่างประเทศค่าเงินต่างประเทศเป็นความเสี่ยง ซึ่งต้องบอกว่าจริง เป็นความเสี่ยงจริงถ้าเรามองว่าเงินบาทคือศูนย์กลางของโลกแต่ในความเป็นจริง ถ้าถามว่าเงิน USD GBP EUR เทียบกับเงินบาทไทยอะไรเสี่ยงกว่ากัน ถ้ามีใครบอกว่าบาทเป็นศูนย์กลางของโลกนี่คงมีแต่คนขำแน่ๆ แต่เข้าใจได้ว่าคนไทยก็คิดเรื่องบาทไว้ก่อน ทั้งที่จริงๆแล้วเราไม่ใช่ค่าเงินสกุลหลักของโลก ซึ่งที่ผ่านมาเงินบาทแข็งมากๆ ทำให้คนรู้สึกว่าถือบาทดี แต่ในปีนี้เงินบาทอ่อนมากคนก็เริ่มพูดอีกอย่าง เอาจริงๆแล้วการที่เรามีสินทรัพย์หลายสกุลน่าจะเป็นการปกป้องความเสี่ยงเสียด้วยซ้ำ เชื่อเถอะว่าคนทั่วๆไปส่วนใหญ่มีรายได้และสินทรัพย์ในรูปของบาทมากเกินพอ มีน้อยรายที่พึ่งพาการลงทุนจากต่างประเทศเป็นหลัก ซึ่งการที่เรามีพอร์ตการลงทุนในต่างประเทศในรูปสกุลเงินต่างๆแล้วมีสินทรัพย์อื่นๆเช่น บ้าน รถ ที่ดิน รายได้ประจำเดือนในรูปบาท เป็นเรื่องที่กระจายความเสี่ยงโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว




ธุรกิจอย่างค้าปลีก เช่น Costco, Walmart, Target หรือโรงแรมชื่อดัง และขนาดใหญ่ เช่น Hilton, Marriott, Jin Jiang, Oyo Rooms มาจากต่างประเทศเช่นกัน


7.ดัชนีตลาดไทยให้ผลตอบแทนที่ต่ำกว่า ดัชนีต่างประเทศในประเทศใหญ่ๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วง 8 ปีหลังอย่างเห็นได้ชัด แต่เราไม่เอาเรื่องนี้ขึ้นมาก่อนและไม่อยากให้เป็นเหตุผลหลัก แม้ว่าเราจะเชื่อมั่นใจธุรกิจต่างประเทศ แต่ในอนาคตเป็นเรื่องที่บอกได้ยากว่าตลาดไหนจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า แต่ถ้าถามว่าในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา 2013-2021 ตลาดหลักทรัพย์ไทยให้ผลตอบแทนน้อยกว่าตลาดใน US อย่างมาก ลองดูในกราฟ รูปที่ 1 SET Index ของไทยจากวันที่ 30/8/2016 อยู่ที่ 1549 จุด มาถึง 20/8/2021 อยู่ที่ 1553 จุด เรียกว่าไม่ไปไหนเลย นี่ถ้ายิ่งเทียบกับจุดสูงสุดของตลาดหุ้นไทยเมื่อประมาณ 7-8 ปีที่แล้วต้องเรียกว่าให้ผลตอบแทนติดลบใครที่เคยซื้อ ETF ไทยก็จะรู้ดีว่าพอร์ตการลงทุนไม่เติบโตเลย เรามาลองดู NASDAQ และ S&P500 กัน รูปที่ 2 เป็นกราฟของกองทุน ETF ตัวหนึ่งที่ซื้อหุ้นตามดัชนี NASDAQ ซึ่งเป็นตลาดสำหรับหุ้นเทคโนโลยีของ US ชื่อ Invesco QQQ Trust ซึ่งผลตอบแทนห้าปีขึ้นจาก 117 จุดมาเป็น 374 จุด ถ้าคุณซื้อ กองทุน ETF NASDAQ ตัวนี้แล้วถือมาห้าปีเท่ากับเงินของคุณจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 3 เท่าเลยทีเดียว ถ้าลงทุนด้วยเงิน 1 ล้านบาท ผ่านไป 5 ปีคุณจะมีเงิน 3.19 ล้านบาท หรือถ้าคุณซื้อหุ้นตาม S&P500 ซึ่งคือหุ้นขนาดใหญ่ทั้งหมดใน US รูปที่ 3 ผ่านไป 5 ปี จะขึ้นจาก 2179 จุดมาเป็น 4486 จุด ซึ่งเท่ากับว่าเงินของคุณ 1 ล้านบาทจะกลายเป็น 2.05 ล้านบาท อันนี้เราเปรียบเทียบ 5 ปีให้เห็นแต่ถ้าเปรียบเทียบจากจุดสูงสุดของหุ้นไทยเมื่อประมาณ 7-8 ปีก่อนแล้วผลตอบแทนไทยติดลบแต่ทาง US เพิ่มมหาศาลขึ้นไปอีก ด้วยเหตุผลที่เราไม่มีธุรกิจในเศรษฐกิจใหม่อย่างที่กล่าวมานั่นเอง


ในไอเดียของ Frisbee ตามที่กล่าวมาเราสนับสนุนอย่างมากที่จะไปศึกษาบริษัทต่างประเทศ เริ่มจากบริษัทที่เรารู้จักหรือใช้ผลิตภัณฑ์ก่อนก็ได้ สำหรับคนที่อยากซื้อกองทุน การซื้อ ETF ในตลาดต่างประเทศเองจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเสียค่าธรรมเนียมและค่าบริหารได้มาก เทียบกับการซื้อผ่านกองทุนไทยที่ไปลงทุนต่างประเทศ หากเพื่อนๆท่านใดสงสัยสามารถสอบถามมาทาง Frisbee ได้เรายินดีแชร์ประสบการณ์ หรือช่องทางในการออกสู่โลกกว้างของคุณ


 

ติดตาม และอ่านบทความอื่นๆของพวกเรา Frisbee & Co. ได้ที่ LINE Official: @frisbee Twitter: @FrisbeeCo Website: frisbeeandco.com



Comments


bottom of page