ในสองสามปีที่ผ่านมา เราได้เห็นนักลงทุนจำนวนมากไปลงทุนในต่างประเทศทั้งที่ไปลงทุนเองหรือบางทีก็ไปซื้อกองทุนในต่างประเทศ ซึ่งตอนนี้ทำได้ง่ายมากๆ และสะดวกมากขึ้นเรื่อยๆ ทาง Frisbee เองได้มีประสบการณ์ในการไปซื้อหุ้นในต่างประเทศด้วยตัวเอง เป็นเวลาประมาณ 7-8 ปีเห็นจะได้ ทีมงานได้เข้าไปลงทุนในหลายตลาดหลักทรัพย์ทั้งในฮ่องกง สิงคโปร์ และอีกหลายตลาดและที่ขาดไม่ได้คือ ตลาด US หลายท่านถามว่าทำไมไปลงทุนที่ต่างประเทศเป็นคำถามที่ถูกถามมาเรื่อยๆเลยว่ามารวบรวมรายละเอียดให้เพื่อนๆเห็นภาพกัน
1.ประเทศไทยมีตัวเลือกจำกัด ตลาดหลักทรัพย์บ้านเราตัวเลือกไม่น้อยและขนาดไม่เล็กก็จริงแต่ถ้าเทียบกับโลกใบนี้ หรือถ้าเทียบกับในตลาดของฝั่ง US หรือฝั่งยุโรปแล้วต้องบอกว่าเรายังเทียบเขาไม่ได้เลย ดังนั้นการที่เรามีตัวเลือกที่เยอะกว่าทำให้เราเป็นผู้เลือก ลองนึกภาพว่าจะซื้อหุ้น โรงแรมหรือค้าปลีกที่เป็นหุ้นยอดฮิตในบ้านเรา เรียกว่านับตัวได้มีไม่กี่ตัวให้เลือก ไม่ต้องเป็นนักวิเคราะห์หรือผู้บริหารกองทุนก็แทบจะจำชื่อได้หมดกันทุกคนอยู่แล้ว ในขณะที่พอเรามองไปที่ต่างประเทศ เราจะเจอความหลากหลายมหาศาล และเอาจริงๆบริษัทขนาดใหญ่ก็เข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อเมริกากับยุโรปเกือบหมด ซึ่งมักจะเป็นบริษัทที่เรารู้จักดีกันทั้งนั้น
2.เศรษฐกิจบ้านเราเป็นแบบเก่า อันนี้ต้องบอกว่าเรานิยามเองไม่ได้เป็นไปตามหลักเศรษฐศาสตร์อะไร ลองคิดดูง่ายๆว่า หุ้นหรือบริษัทขนาดใหญ่ในบ้านเราก็มีอย่างที่รู้จักกัน CPALL AOT PTT PTTEP PTTOR MINT CPN มักจะวนอยู่กับธุรกิจคล้าปลีก พลังงาน ท่องเที่ยว แต่เราไม่มีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีใหม่ๆ ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนโลกไปตลอดกาล อย่าง Facebook Apple Amazon Netflix Microsoft Google ลองไล่ดูรายชื่อง่ายๆ เราไม่มีและไม่มีวันที่จะมีบริษัทเหล่านั้นในประเทศเรา มีแต่เราต้องเอาของเขามาใช้ ซึ่งต่างจากสมัยก่อนมาก เมื่อก่อนถ้าต่างประเทศมีอะไรประเทศเราจะมีเขาต้องมาตั้งโรงงานตั้งบริษัทในประเทศเราเราถึงจะมีสิ่งนั้น แต่ดูบริษัทต่างๆที่ว่ามา เราเล่น Facebook โดยที่ Facebook ไม่ต้องมาทำอะไรหรือแทบไม่ต้องมาทำอะไรในไทยเลย(ทุกวันนี้คนที่จ่ายเงินค่าโปรโมทให้ Facebook ไม่ได้ VAT ซื้อด้วยซ้ำ เท่ากับว่า Facebook ไม่ต้องจ่าย VAT ให้กับประเทศเราเลย ซึ่งเข้าใจว่าเริ่มมีข่าวว่าทางการไทยเริ่มพยายามจะหาทางเก็บ VAT กับทาง Facebook) แล้วเราใช้ Facebook มากแค่ไหน บอกได้เลยว่ามากกว่าเว็บไทยทั้งหมดรวมกันแน่ๆ
หรือถ้าเราอยากดูหนังสมัยก่อนเราต้องเข้าโรงหนังซึ่งอยู่ในประเทศเรา แต่ตอนนี้ด้วยระบบ Streaming เราสามารถดู Netflix ได้ โดยที่เขาไม่ต้องมาทำสัญญากับโรงหนังในบ้านเราเลยแม้แต่โรงเดียว และด้วยเศรษฐกิจสมัยใหม่ได้สร้างบริษัทที่สามารถเปลี่ยนโลกได้ และสามารถขยายไปได้ทั่วโลกโดยที่ไม่ต้องไปตั้งบริษัทในต่างประเทศเลยทำให้บริษัทเหล่านั้นเติบโตได้อย่างรวดเร็วและบริษัทที่เป็นโครงสร้างเก่าไม่สามารถทำได้ เราเลยขอนิยาม บริษัทในเศรษฐกิจใหม่ไว้ว่าคือ บริษัทที่สามารถขยายตัวไปประเทศต่างๆได้โดยที่แทบไม่ต้องใช้เงินลงทุน ซึ่งมักจะประกอบด้วยบริษัทพวกเทคโนโลยีสมัยใหม่หรือว่าพวกที่มี สิทธิทางการค้าพิเศษหรือแบรนด์ที่เข้มแข็งพิเศษมากๆ ซึ่งบ้านเราไม่มีบริษัทเหล่านั้นเลย ส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นบริษัทที่ถือหุ้นโดยภาครัฐ หรือบริษัทเอกชนที่ผูกขาดเพียงในประเทศแต่การขยายตัวออกนอกประเทศต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมากและอาจไม่ประสบความสำเร็จ ซึ่งจะน่าเสียดายขนาดไหนถ้าเราเลือกลงทุนเฉพาะหุ้นในเศรษฐกิจแบบเก่าเท่านั้น
3.มีความเข้าใจบริษัทมากกว่า ย้ำอีกครั้ง เรามีความเข้าใจในบริษัทต่างประเทศมากกว่า ฟังแล้วงงแต่ยืนยันอีกครั้งว่าไม่ผิด ลองมองสิ่งรอบตัวเรา สิ่งที่เราใช้บางทีไม่ใช่ของในประเทศเลย สมมติง่ายๆว่าคุณเป็นสาวก Apple แน่ๆล่ะคุณจะใช้ iPhone และคอมคุณอาจจะเป็น iMac McBook นาฬิกาคุณอาจจะเป็น Apple Watch คลาวด์ที่ใช้คุณจะเก็บรูปบน iCloud นี่คุณเรียนรู้บริษัทไปเกือบหมดแล้วนะ เทียบกับบริษัทไทยๆที่บางทีคุณอาจจะแทบไม่ได้ใช้บริการเลย คุณอาจจะใช้บริการโรงแรมในเครือ Hilton Marriott มากกว่าเครืออย่าง Anantara หรือ Centara ของไทยและที่แน่ๆ คุณจะใช้บริการการจองโรมแรมจาก Booking.com หรือ Agoda มากกว่าระบบจองทั่วๆไปของประเทศเราแน่ๆซึ่งบางทีนึกไม่ออกด้วยซ้ำว่ามีหรือเปล่า ด้วยความต่อเนื่องมาจากเศรษฐกิจใหม่ทำให้บริษัทระดับโลกเข้ามามีบทบาทในชีวิตเรามากกว่าบริษัทในประเทศเราในหลายๆด้านทำให้เราคุ้นเคยเข้าใจและรู้จักมันดีกว่า
นี่ไม่ได้พูดถึง Facebook และ Google ด้วยซ้ำ คงไม่มีใครกล้าเถียงว่าเราใช้ Facebook IG Line มากกว่า Social Media ของประเทศเราแน่ๆ หรือการค้นหาด้วย Google เราก็ทำมากกว่าใช้ Search Engine ในบ้านเราเองเหมือนกัน (เอาจริงๆนึกไม่ออกด้วยซ้ำว่าเรามีของอย่างนั้นในประเทศเราด้วยหรือถ้าเราไม่ใช้ของเขา)
4.การเข้าถึงข้อมูลง่ายขึ้น ด้วยการพัฒนาทางอินเตอร์เน็ต เราสามารถฟังบทวิเคราะห์หารายงานประจำปี เอาจริงๆในต่างประเทศนี่ไม่ได้หายากกว่าไทยดีไม่ดีง่ายกว่าด้วยซ้ำ ในบริษัท US ผู้บริหารต้องออกมาพูดทุกไตรมาส ต้องประมาณการณ์ไตรมาสต่อไปตลอดเวลาซึ่งด้วยกฎเหล่านั้นทำให้เราเข้าถึงข้อมูลได้มากกว่าบริษัทในตลาดหุ้นไทยเสียอีก เอาว่าอ่านกันแทบไม่หวาดไม่ไหวแล้วกัน
5.ค่าธรรมเนียมไม่สูง ในประเทศฝั่ง US และยุโรป ตอนนี้โบรคเกอร์ก็ทำราคาแข่งกันเรียกว่าเทรดหุ้นต่างประเทศราคาแทบจะพอๆเทรดหุ้นไทยแล้วในบางตลาดและถ้าคุณเข้าใจระบบคิดค่าธรรมเนียมดีๆบางทีคุณจ่ายค่าธรรมเนียมการซื้อขายน้อยกว่าหุ้นไทยเสียด้วยซ้ำ ส่วนคนที่ซื้อ ETF บอกได้เลยว่า ETF ในต่างประเทศค่าธรรมเนียมต่ำมาก ต่ำกว่ากองทุนในประเทศเราไม่รู้กี่เท่า ซึ่งบางคนอาจจะแย้งว่ากองทุนในประเทศเราเป็นแบบ Active Fund คือต้องใช้ผู้บริหารกองทุน แต่ในความเป็นจริงตอนนี้ที่ฮ็อตมากๆก็คือแบงค์ไทยออกกองทุนที่ไปซื้อกองต่างประเทศหรือ ETF ต่างประเทศอีกที ซึ่งเท่ากับคุณต้องเสียค่าใช้จ่ายในการบริหารสองต่อ ซึ่งจริงๆแล้วกอง ETF จำนวนมากคุณสามารถซื้อเองได้โดยที่ค่าธรรมเนียมต่ำและค่าบริหารกองทุนต่อปีต่ำมากๆ บางกองทุนต่ำกว่า 0.5% ต่อปีเสียอีก เรียกว่าถ้าคุณได้เห็นค่าธรรมเนียมของ ETF ต่างประเทศคุณอาจจะลืมกองทุนไทยไปเลยก็ได้
6.ค่าเงินและการปกป้องความเสี่ยง หลายๆท่านเป็นห่วงว่าถ้าซื้อหุ้นต่างประเทศค่าเงินต่างประเทศเป็นความเสี่ยง ซึ่งต้องบอกว่าจริง เป็นความเสี่ยงจริงถ้าเรามองว่าเงินบาทคือศูนย์กลางของโลกแต่ในความเป็นจริง ถ้าถามว่าเงิน USD GBP EUR เทียบกับเงินบาทไทยอะไรเสี่ยงกว่ากัน ถ้ามีใครบอกว่าบาทเป็นศูนย์กลางของโลกนี่คงมีแต่คนขำแน่ๆ แต่เข้าใจได้ว่าคนไทยก็คิดเรื่องบาทไว้ก่อน ทั้งที่จริงๆแล้วเราไม่ใช่ค่าเงินสกุลหลักของโลก ซึ่งที่ผ่านมาเงินบาทแข็งมากๆ ทำให้คนรู้สึกว่าถือบาทดี แต่ในปีนี้เงินบาทอ่อนมากคนก็เริ่มพูดอีกอย่าง เอาจริงๆแล้วการที่เรามีสินทรัพย์หลายสกุลน่าจะเป็นการปกป้องความเสี่ยงเสียด้วยซ้ำ เชื่อเถอะว่าคนทั่วๆไปส่วนใหญ่มีรายได้และสินทรัพย์ในรูปของบาทมากเกินพอ มีน้อยรายที่พึ่งพาการลงทุนจากต่างประเทศเป็นหลัก ซึ่งการที่เรามีพอร์ตการลงทุนในต่างประเทศในรูปสกุลเงินต่างๆแล้วมีสินทรัพย์อื่นๆเช่น บ้าน รถ ที่ดิน รายได้ประจำเดือนในรูปบาท เป็นเรื่องที่กระจายความเสี่ยงโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว
7.ดัชนีตลาดไทยให้ผลตอบแทนที่ต่ำกว่า ดัชนีต่างประเทศในประเทศใหญ่ๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วง 8 ปีหลังอย่างเห็นได้ชัด แต่เราไม่เอาเรื่องนี้ขึ้นมาก่อนและไม่อยากให้เป็นเหตุผลหลัก แม้ว่าเราจะเชื่อมั่นใจธุรกิจต่างประเทศ แต่ในอนาคตเป็นเรื่องที่บอกได้ยากว่าตลาดไหนจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า แต่ถ้าถามว่าในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา 2013-2021 ตลาดหลักทรัพย์ไทยให้ผลตอบแทนน้อยกว่าตลาดใน US อย่างมาก ลองดูในกราฟ รูปที่ 1 SET Index ของไทยจากวันที่ 30/8/2016 อยู่ที่ 1549 จุด มาถึง 20/8/2021 อยู่ที่ 1553 จุด เรียกว่าไม่ไปไหนเลย นี่ถ้ายิ่งเทียบกับจุดสูงสุดของตลาดหุ้นไทยเมื่อประมาณ 7-8 ปีที่แล้วต้องเรียกว่าให้ผลตอบแทนติดลบใครที่เคยซื้อ ETF ไทยก็จะรู้ดีว่าพอร์ตการลงทุนไม่เติบโตเลย เรามาลองดู NASDAQ และ S&P500 กัน รูปที่ 2 เป็นกราฟของกองทุน ETF ตัวหนึ่งที่ซื้อหุ้นตามดัชนี NASDAQ ซึ่งเป็นตลาดสำหรับหุ้นเทคโนโลยีของ US ชื่อ Invesco QQQ Trust ซึ่งผลตอบแทนห้าปีขึ้นจาก 117 จุดมาเป็น 374 จุด ถ้าคุณซื้อ กองทุน ETF NASDAQ ตัวนี้แล้วถือมาห้าปีเท่ากับเงินของคุณจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 3 เท่าเลยทีเดียว ถ้าลงทุนด้วยเงิน 1 ล้านบาท ผ่านไป 5 ปีคุณจะมีเงิน 3.19 ล้านบาท หรือถ้าคุณซื้อหุ้นตาม S&P500 ซึ่งคือหุ้นขนาดใหญ่ทั้งหมดใน US รูปที่ 3 ผ่านไป 5 ปี จะขึ้นจาก 2179 จุดมาเป็น 4486 จุด ซึ่งเท่ากับว่าเงินของคุณ 1 ล้านบาทจะกลายเป็น 2.05 ล้านบาท อันนี้เราเปรียบเทียบ 5 ปีให้เห็นแต่ถ้าเปรียบเทียบจากจุดสูงสุดของหุ้นไทยเมื่อประมาณ 7-8 ปีก่อนแล้วผลตอบแทนไทยติดลบแต่ทาง US เพิ่มมหาศาลขึ้นไปอีก ด้วยเหตุผลที่เราไม่มีธุรกิจในเศรษฐกิจใหม่อย่างที่กล่าวมานั่นเอง
ในไอเดียของ Frisbee ตามที่กล่าวมาเราสนับสนุนอย่างมากที่จะไปศึกษาบริษัทต่างประเทศ เริ่มจากบริษัทที่เรารู้จักหรือใช้ผลิตภัณฑ์ก่อนก็ได้ สำหรับคนที่อยากซื้อกองทุน การซื้อ ETF ในตลาดต่างประเทศเองจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเสียค่าธรรมเนียมและค่าบริหารได้มาก เทียบกับการซื้อผ่านกองทุนไทยที่ไปลงทุนต่างประเทศ หากเพื่อนๆท่านใดสงสัยสามารถสอบถามมาทาง Frisbee ได้เรายินดีแชร์ประสบการณ์ หรือช่องทางในการออกสู่โลกกว้างของคุณ
ติดตาม และอ่านบทความอื่นๆของพวกเรา Frisbee & Co. ได้ที่ LINE Official: @frisbee Twitter: @FrisbeeCo Website: frisbeeandco.com
Comments