top of page
  • Writer's pictureFrisbee & Co.

Netflix หุ้นตก 20% ในวันเดียวทำยังไงดี?

Updated: Jan 28, 2022

ในวันที่ 20/1/2022 หลังตลาดปิด NFLX ประกาศผลประกอบการ พอตลาดเปิดในวันที่ 21/1/2022 หุ้นตกในวันเดียว มากกว่า 20% รูปที่ 1 ในเดือน มกราคมของปี 2022 ตลาดหุ้น NASDAQ ได้ร่วงลงจากจุดสูงสุดของต้นปีที่ 15,831 จุดมาปิดในวันที่ 21/1/22 ที่ 13,768 จุด หรือลดลงราวๆ 13% รูปที่ 2 ซึ่งหากรวมค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นทำให้คนที่ถือหุ้น NASDAQ ได้รับผลกระทบราว 15% เลยทีเดียว เรียกว่าเป็นการร่วงลงที่หนักที่สุดหลังจากยุคโควิด ซึ่งโดยปกติแล้วเดือนมกราคม มักเป็นเดือนที่ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นทั่วโลก แต่ปีนี้เป็นปีที่นักลงทุนได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มปรับตัวขึ้น ทำให้คนขายหุ้นหันมาถือสินทรัพย์ที่ไม่เสี่ยงมากขึ้น เช่น พันธบัตร สิ่งที่ Frisbee อยากนำเสนอคือการเอาสถานการณ์แบบนี้มาวิเคราะห์ ว่ามีอะไรเกิดขึ้นและแนวทางทำอย่างไรดี

รูปที่ 1 Netflix, Inc. (NFLX)

รูปที่ 2 NASDAQ Composite (^IXIC)

NFLX ประกาศผลประกอบการของไตรมาสสุดท้ายของปี 2021 เมื่อวันที่ 20/1/2022 ประเด็นสำคัญมีดังนี้

Reed Hastings และ Ted Sarandos ผู้บริหาร Netflix


1. สิ้นปี 2021 มี Subscriber 222 ล้าน โดยในไตรมาสที่ 4 ที่ผ่านมาเพิ่มขึ้น 8.3 ล้าน ซึ่งใกล้เคียงกับที่ผู้บริหารคาดการณ์ว่าจะเพิ่ม 8.5 ล้าน


2. Engagement หรือจำนวนเวลาผู้เข้าชมเพิ่มขึ้น โดยเริ่มจาก Squid Game ในปลายไตรมาส 3 ซึ่งทำยอดจำนวนชั่วโมงเข้าชมสูงเป็นประวัติการณ์ และปลายปีมีหนังฟอร์มยักษ์สองเรื่อง คือ Red Notice และ Don’t Look Up ซึ่งทำสถิติเป็นภาพยนตร์ที่มีจำนวนชั่วโมงคนเข้าดูมากที่สุดอันดับ 1 และอันดับ 2 ตลอดกาลตามลำดับ


3. Churn Rate หรืออัตราการยกเลิกต่ำลง (ผู้บริหารไม่ได้ให้ตัวเลข)


4. ผู้บริหารคาดการณ์ว่าในไตรมาส 1 ปี 2022 จะมี Subscriber เพิ่มเพียง 2.5 ล้าน ซึ่งตลาดคาดการณ์ว่าควรจะเป็นมากกว่า 5 ล้าน ซึ่งเป็นสิ่งที่ตลาดผิดหวังมากจนทำให้หุ้นตกในวันเดียวกว่า 20% นักวิเคราะห์มองว่า NFLX จะกลายเป็นบริษัทที่ไม่เติบโตหรือไม่สามารถเติบโตได้อีก ดังนั้นเลยให้มูลค่าของบริษัทต่ำลงอย่างมาก



มุมมอง Frisbee จากสิ่งที่เกิดขึ้น

รูปที่ 3 เปรียบเทียบยอด Subscriber ที่จ่ายเงินจากการคาดการณ์ของ Netflix (สัญลักษณ์สีเทา) และ ยอด Subscriber ที่จ่ายเงินที่เกิดขึ้นจริงในแต่ละช่วงเวลา (สัญลักษณ์สีแดง = ต่ำกว่าที่คาดการณ์, สัญลักษณ์สีเขียว = สูงกว่าที่คาดการณ์)


NFLX ไม่โตแล้วจริงๆหรือ? ถ้ามองในช่วงยุคก่อนโควิด NFLX สามารถเพิ่ม Subscriber ได้มากกว่าปีละ 25 ล้าน ซึ่งในช่วงโควิดการเติบโตของ Subscriber ยิ่งรวดเร็วมากขึ้นไปอีก แต่ในปี 2021 การเติบโตของยอด Sub ก็ต่ำลงและยังไม่มีทีท่าว่าจะกลับมาเป็นเหมือนช่วงก่อนโควิด ซึ่งสิ่งนี้น่ากังวลอย่างมากต่อนักวิเคราะห์ รูปที่ 3

ผลการค้นหาซีรีย์ และภาพยนตร์ผ่านทาง Google ในปี 2021 โดย Squid Game ขึ้นเป็นอันดับ 1 เป็นซีรีย์ที่มีผู้ค้นหามากที่สุด และ Red Notice เป็นภาพยนตร์ที่มีผู้ค้นหามากที่สุดเป็นอันดับ 5


1. ยอด Sub ใน US ซึ่งไม่ค่อยเติบโตมาสักพัก เรามองว่าด้วยยอด Sub ใน US และ Canada ที่ 75.22 ล้าน เท่ากับว่ามีคนดู NFLX อย่างน้อยกว่า 150 ล้านคน (1 Sub ส่วนใหญ่จะดูได้มากกว่า 1 คน) ซึ่งด้วยประชากร US ที่ประมาณกว่า 300 ล้านคน การที่ NFLX เขาถึงคนได้ในระดับ 50% ไปแล้ว เป็นเรื่องปกติที่การเพิ่มขึ้นของยอดสมาชิกจะไม่สามารถเติบโตได้มากนัก แต่สิ่งที่น่าสนใจคือคนยังใช้เวลากับ Streaming ไม่ได้มากนักและ Engagement (เวลาที่คนเข้าชม) กับ NFLX เพียงแค่ 6% โดยประมาณ ซึ่งหาก Engagement เพิ่มขึ้น และ Churn Rate ลดลง(อัตราการยกเลิกต่ำ) สิ่งที่บริษัททำได้คือการเพิ่มราคา ซึ่งต้นปีนี้ทาง NFLX เพิ่งจะเพิ่มราคาอีกครั้ง โดยตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นมาทาง NFLX เพิ่มราคาสมาชิกใน US ไปแล้วสองรอบ เรามองว่าการเติบโตของ US จะมาจากการค่อยๆเพิ่มราคา ผ่านการเพิ่มบริการที่มีคุณภาพมากขึ้นเข้าไป เช่น ภาพยนตร์และเกมส์ ปี 2021 เป็นปีที่ทาง NFLX ทำ ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ออกมาคือ Red Notice ซึ่งติดอันดับภาพยนตร์อันดับ 5 ที่คนค้นหาใน Google มากที่สุดในโลก


ซึ่งมีการประมาณการว่ามีคนดูไม่น้อยกว่า 100 ล้านครั้ง ซึ่งถ้าหากเป็นการเข้าฉายในโรงภาพยนตร์บริษัทจะได้เงินจากตรงนี้ไม่น้อยกว่า 500 ล้านUSD บริษัทอื่นมักจะเลือกเอาหนังพวกนี้เข้าโรงภาพยนต์ เพื่อเพิ่มรายได้ แต่ NFLX สนใจที่จะเพิ่ม Engagement ในตัว Platform มากกว่า ซึ่งในปลายปีก็ปล่อย หนังเรื่อง Don’t Look Up ที่นำแสดงโดย Leonardo Di Caprio และ Jennifer Lawrence ออกมาอีกเรื่อง ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก ซึ่งถ้าเราเป็นคน US ซึ่งปกติต้องเสียค่าตั๋วหนังครั้งละ 10 US แต่จ่ายให้กับ NFLX เดือนละประมาณ 15 เหรียญ แล้วได้มีภาพยนตร์ใหม่ พร้อมกับดูซีรีย์สักเรื่อง ก็เรียกว่าคุ้มแล้ว เรามองว่าสิ่งที่ NFLX ไม่ได้สูญเปล่าแต่เป็นการเพิ่มมูลค่าในระยะยาวให้กับ Platform มากกว่า


Red Notice ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ของ Netflix ที่รวมดาราดังอย่าง Dwayne Johnson, Gal Gadot และ Ryan Reynolds ได้รับเสียงตอบรับและความนิยมอย่างมาก มีผู้ชมเข้าดูประมาณ 100 ล้านครั้งในปีที่ผ่านมา


Don’t Look Up ภาพยนตร์ที่สร้างโดย Netflix ได้ดาราดังๆมาร่วมแสดงมากมาย และมีกระแสตอบรับ และความนิยมสูงทั่วโลกอีกเช่นกัน


2. การเติบโตของยอด Subscriber จากฝั่งเอเชีย NFLX มียอด Sub จาก เอเชียเพียง 32.6 ล้าน ซึ่งถ้าเทียบกับประชากรแล้วยังถือว่ามีจำนวนน้อยมากๆแน่นอนว่าการเข้าถึง Streaming ของฝั่ง เอเชียน่าจะช้ากว่าทาง US ซึ่งด้วยจำนวนประชากรมหาศาลทำให้โอกาสตรงนี้ยังมีอยู่มาก ซึ่ง NFLX ทำสองเรื่องคือเรื่องแรกปรับราคาให้เข้ากับบางประเทศ ในอินเดียทาง NFLX ได้ลดราคาลงราวๆ 60% เพื่อให้สอดคล้องกับคู่แข่งและราคาที่คนในประเทศเข้าถึงได้ ซึ่งทางบริษัทมองภาพรวมว่าราคา ณ จุดไหนที่ จะทำให้ได้รายได้สูงสุด ส่วนอีกเรื่องคือการเพิ่ม Content ที่เป็น Local Content ซึ่งทาง NFLX ได้ผลิต Content ที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ ออกมามากกว่า 40 ภาษา ซึ่งประสบความสำเร็จไม่เพียงแต่คนในประเทศนั้นๆหรือละแวกนั้นๆดูแต่กลับประสบความสำเร็จทั่วโลก อย่าง Squid Game ซึ่งมีคนเข้าชมมากกว่า 1,600 ล้าน ชั่วโมง , Money Heist , Lupin ซึ่งประสบความสำเร็จทั่วโลกเช่นกัน ซึ่งในส่วนนี้ NFLX เริ่มทำมาได้แล้ว 7 ปี ซึ่งถือว่ายังไม่นานนักแต่ประสบความสำเร็จอย่างมาก


ด้วยความสามารถที่ผลิต ซีรีย์ และภาพยนตร์ได้จากทั่วทุกมุมโลกและได้รับความนิยม เรามองว่าเป็นความสามารถอันยอดเยี่ยม แต่การที่จะเติบโตทางฝั่งเอเชียน่าจะต้องใช้เวลาปรับตัวต่อเนื่อง เนื่องจากพฤติกรรมการดูหรือการสมัครสมาชิกของฝั่งเอเชียอาจจะแตกต่างจากฝั่ง US ไม่ว่าจะเป็นการยอมจ่ายค่าบริการที่ถูกกว่าหรือการดูแบบไม่ถูกกฎหมาย แต่เรามองว่าคนฝั่งเอเชียจะค่อยๆปรับตัวเรื่องแบบนี้ได้มากขึ้นเรื่อยๆเข้าใกล้คนฝั่งตกวันตกในอนาคต


La Casa de Papel หรือ Money Heist ซีรีย์ภาษาสเปนที่ได้รับความนิยมทั่วโลก

Lupin ซีรีย์ภาษาฝรั่งเศสที่ได้รับความนิยมทั่วโลก

Squid Game ซีรีย์ภาษาเกาหลีที่ได้รับความนิยมทั่วโลก

3. Streaming เป็นธุรกิจที่ไม่เติบโตแล้วหรือ เราสนใจมากถ้าการเติบโตของอุตสาหกรรมน้อย หรือว่า บริษัทเติบโตน้อยแต่คู่แข่งเติบโตอย่างมาก ซึ่งเราไม่เห็นประเด็นจากทั้งสองกรณีนี้ Streaming ยังเป็นเวลาจำนวนเพียงแค่ 30% ของการดูทีวีของชาวอเมริกันยิ่งถ้าเป็นประเทศอื่นยิ่งน้อยกันไปใหญ่ คนจำนวนมากยังใช้ เคเบิ้ลทีวีและฟรีทีวีอยู่ ซึ่งจำนวนเหล่านี้ลดลงเรื่อยๆอย่างต่อเนื่องในทุกๆประเทศ มีวิจัยว่าอีก 10-20 ปีทีวีเหล่านี้อาจจะหายไปหมดเหลือเพียง Streaming ผู้บริหารได้บอกว่าเขาก็เชื่อเช่นนั้น ดังนั้นเรามองว่า Streaming ยังเป็นอุตสาหกรรมที่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น ลองคิดจากตัวเราเองก็ได้ว่า 5 ปีที่แล้วกับตอนนี้เราใช้เวลากับ Streaming เพิ่มขึ้นแค่ไหน จากที่เป็นเรื่องไกลตัวตอนนี้แทบจะเป็น Life Style เลยทีเดียว


ส่วนคู่แข่งเจ้าอื่นๆของ NFLX อย่าง Disney+ ซึ่งเพิ่มเริ่มในปี 2019 ช่วงแรกก็มีการเติบโตที่รวดเร็ว แต่ช่วงปลายปี 2021 การเติบโตก็ดูจะช้าลงซึ่งไม่ได้แตกต่างจาก NFLX ใดๆ ทำให้เราไม่มองว่าบริษัทสูญเสียความสามารถในการแข่งขันไป สำหรับ Amazon Prime กับ HULU ก็แข่งกัน 14 ปีแล้วคงไม่ได้เป็นเหตุผลว่ามีคู่แข่งทำให้การสมัครสมาชิกน้อยลง เพราะอันที่จริงคู่งแข่งก็เริ่มมีมาตั้งแต่การแข่งขันกับเคเบิ้ลทีวีที่มีอยู่เดิมตลอดอยู่แล้ว ส่วนการที่อุตสาหกรรมในภาพรวมจะมีการเหวี่ยงขึ้นลงบ้างเรามองว่าเป็นเรื่องปกติของการทำธุรกิจทุกประเภท



สำหรับคุณแล้ว Netflix ยังถือว่าเป็นบริษัทที่น่าสนใจอยู่หรือไม่?

ในความเห็นของเราสิ่งที่เรากลัวคือการขาดทุนจากการที่บริษัทเปลี่ยนโครงสร้างไปในทางที่แย่ลงอย่างถาวร มีการตกต่ำของอุตสาหกรรมอย่างถาวร ซึ่งนักวิเคราะห์อาจจะมองว่า NFLX กำลังเปลี่ยนไปอย่างถาวรเพราะไม่เติบโต แต่เราอยากแชร์มุมมองให้ครบรอบด้านแล้วเพื่อนๆล่ะมองว่า NFLX หมดน้ำยาแล้วหรือเปล่า



Reference :


 

ติดตาม และอ่านบทความอื่นๆของพวกเรา Frisbee & Co. ได้ที่ LINE Official: @frisbee Twitter: @FrisbeeCo Website: frisbeeandco.com



66 views0 comments

Comments


bottom of page