top of page
  • Writer's pictureFrisbee & Co.

Disney+ จะ ฆ่า Netflix ได้มั้ย

Updated: Dec 21, 2021

Disney+ จะ ฆ่า Netflix ได้มั้ย


30 มิถุนายน 2021 Disney+ จะเข้าไทยอย่างเป็นทางการด้วยแพคเกจสุดเร้าใจ 1 USD สำหรับผู้ที่ใช้บริการ AIS และ 2 USD สำหรับคนทั่วไป ซึ่งถ้าเทียบกับ แพคเกจ 10 USD ของ Netflix ล่ะ แบบนี้ Netflix ยังจะขายได้อยู่มั๊ย คนจะวิ่งมาสมัคร Disney+ กันหมดแทนหรือเปล่า อันที่จริงแล้ว Streaming มีหลากหลายมาก อาทิ Netflix , Disney+ , HBO MAX (ของ AT&T), Prime Video (ของ Amazon), Apple TV+(ของ Apple) , Peacock (ของ Comcast)… แล้วการแข่งขันนี้จะเป็นอย่างไร เราจะมาวิเคราะห์กัน (บทความนี้เขียนตอนกลางเดือนมิถุนายน 2021 ตอนที่ทราบแพคเกจ Disney+ Hotstar ที่จะเข้าไทยเรียบร้อยแล้ว และที่เรานำเสนอราคาเป็น US Dollar เพื่อให้ง่ายต่อการเปรียบเทียบกับระดับสากล)

ก่อนอื่นขอเล่าในเชิงโครงสร้างของค่ายหนังต่างๆก่อนว่าประกอบด้วยส่วนของการผลิตอะไรบ้าง ซึ่งจะเรียกว่าค่ายหนังก็ไม่ถูกนัก แต่ว่าบริษัทที่เกี่ยวกับ การผลิต Content TV หรือ Streaming ต่างๆมักจะมีโครงสร้างการผลิตดังนี้


1. มี Studio Entertainment ซึ่งก็คือค่ายการผลิตหนังหรือซีรีย์นั่นเอง อย่าง Disney ก็มีทั้ง ของ Disney เอง , Pixar , Marvel , Lucasfilm (Star Wars) , 21th Century Fox บริษัท AT&T (T) ก็จะมี Warner บริษัท Comcast เองก็มี NBC Universal บริษัท Prime Video ของ Amazon ก็เพิ่งซื้อ MGM เข้ามา ซึ่งแต่ละค่ายก็จะมีหนังและซีรีย์ทีประสบความสำเร็จในอดีตมากมาย ซึ่งแน่นอนว่าเขาสามารถต่อยอดจากภาพยนตร์เหล่านี้ได้ อย่าง Disney+ ก็จัดเต็มด้วยการสร้าง ซีรีย์ Marvel และ Star wars ออกมาโดยประกาศเรื่องที่จะสร้างอย่างต่อเนื่องในช่วงปลายปี 2020 ประมาณ 20 เรื่องเห็นจะได้ ชิมลางสองเรื่องแรกซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมากด้วย The Mandalorian ของ Star Wars และ Wanda Vision ของ Marvel แล้ว Netflix ล่ะมีค่ายหนังอะไรหรือ ในส่วนนี้ สิ่งที่ Netflix ทำมาต่อเนื่องก็คือการสร้าง Original Content ของตัวเอง โดยที่เน้นไปที่การเก็บข้อมูลคนดูอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทาง Netflix ก็มีทั้งการสร้าง Content ของตัวเอง การซื้อ Content และการให้ทุนสนับสนุน สตูดิโอสร้าง Content ทั่วโลก แนวทางนี้ทำให้ Netflix ไม่ต้องยึดติดกับการทำซีรีย์หรือภาพยนตร์อะไร แต่เน้นไปที่การสร้าง Content ให้เหมาะกับผู้ดูเป็นหลัก ซึ่งคนที่ทำหน้าที่เฉพาะตรงนี้ บริษัท Netflix เอง จะเรียกพวกเขาว่า Data Clientist สิ่งที่น่าสนใจคือ Netflix เป็นบริษัทที่มีทุนการทำ Content สูงที่สุด คือตั้งเป้าว่าจะลงทุนในการผลิต Content ในปี 2021 ถึงประมาณ 17,000 ล้าน USD ซึ่งทำให้ Netflix มี Content ที่หลากหลายจากทุกมุมของโลก ทั้งซีรีย์เกาหลีซึ่งเข้าถึงคนเอเชียมาก ทั้งซีรีย์ฝรั่งสารพัดเรื่อง – วิเคราะห์ในจุดนี้ Netflix มีทุนการผลิตสูงกว่าและอิสระกว่าค่ายอื่นๆ แต่ค่ายอื่นๆก็อาจจะมีซีรีย์เก่าแก่ซึ่งสามารถต่อยอดได้






2. สถานีข่าว Disney เองก็มี ABC บริษัท AT&T ก็มี CNN ส่วน Netflix ไม่ได้ทำสถานีข่าว ซึ่งแต่ละค่ายถึงแม้จะมีสถานีข่าวแต่ก็ไม่ได้อยู่ในส่วนของ Streaming แต่อย่างใด – สรุปแล้วบริษัทต่างๆไม่ได้มีการนำสถานีข่าวมาลงใน Streaming ของตัวเอง



3. สารคดี Disney มี National Geographic ส่วน AT&T ก็กำลังซื้อ Discovery ซึ่ง Netflix เอง มักจะใช้วิธีทำ Documentary ซึ่งหลายๆปีหลังทำให้ประสบความสำเร็จอย่างมาก อย่างล่าสุดที่ได้ Oscar ไปก็คือ My Octopus Teacher จนกระทั่งหลังๆคนเริ่มรู้สึกว่า Documentary ของ Netflix เป็น Signature อย่างหนึ่งเลยทีเดียว ส่วนค่ายอื่นๆเข้าใจว่ายังไม่ได้รวม สารคดีเหล่านั้นใน Streaming ตัวเอง อีกค่ายที่ทำสารคดีคุณภาพแต่ปริมาณยังไม่มากนักก็คือ Apple TV+ ของ Apple ซึ่งมีสารคดีคุณภาพอย่าง Tiny World กับ Earth at Night in Color ซึ่งเป็นอีกค่ายที่ไม่แยกแพคเกจของสารคดีกับ Streaming ปกติ- สรุปคือ มักจะมีการแยกแพคเกจออกไป ยกเว้น Netflix ถ้าทำ Documentary ก็จะรวมเลยเพราะไม่มีแพคเกจอื่น เช่นเดียวกับ Apple TV+ ซึ่งจะรวมกันไม่ได้แยกแพคเกจ





4. กีฬา อย่าง Disney ก็จะมี ESPN เป็นหลัก ซึ่ง ไม่ได้อยู่ใน Disney+ แต่อย่างใด ซึ่งแต่ละค่ายที่มีช่องกีฬาก็มักจะมีแพคเกจกีฬาแยกต่างหาก อย่างถ้าสมาชิก Disney+ ถ้าอยากดูกีฬาด้วยใน US ก็สามารถซื้อแพคเกจ ESPN+ เพิ่มได้ด้วย ซึ่ง Netflix ไม่ได้มีการ Streaming กีฬา – สรุปคือมักจะต้องซื้อแพคเกจเสริม ส่วน Netflix ไม่ได้ทำส่วนนี้



หลังจากที่ผลิต Content ต่างสิ่งที่บริษัทเหล่านี้ทำในอดีตก็คือการไปเช่าเวลาทีวี หรือว่าไปสร้างทีวีหรือเคเบิ้ลทีวีของตัวเอง ซึ่งมีทั้งฟรีทีวีและแบบเก็บเงิน ส่วนภาพยนตร์ก็จะนำเข้าไปฉายในโรงภาพยนตร์ หลายๆครั้งก็นำ Content ที่ทำไปขายหรือให้ช่องทีวีหรือว่า Streaming อื่นๆเช่าก็มี ซึ่ง Netflix เองจะไม่มีการจัดการที่ซับซ้อน โดยการฉายใน Streaming ตัวเองเท่านั้น ซึ่งข้อดีคือการง่ายต่อการจัดการ ลูกค้าเข้าถึงง่ายและเป็นโครงสร้างเดียวกันทั่วโลก ส่วนค่ายอื่นๆก็มักจะค่อยๆหยุดหรือลดปริมาณการฉายผ่านช่องอื่นๆ แล้วเดินไปทาง Streaming ยกเว้นในช่องทางของการฉายภาพยนตร์ซึ่งยังไม่ชัดเจนว่าจะเอาภาพยนตร์เข้าโรงก่อน หรือว่าพร้อมกับ Streaming แน่นนอนว่าการสร้าง Streaming ของตัวเองแม้ว่าจะมีช่องทางใหม่ที่จะได้เงินเพิ่ม แต่ก็เป็นการลดเงินหรือว่า Disrupt ช่องทางเก่าของตัวเองเช่นกัน ซึ่ง Netflix เองจะไม่มีปัญหาตรงนี้แต่ก็จะมีรายได้ทางเดียวคือ Subscriber เท่านั้น (รายได้ทางอื่นมีบ้างแต่ถือว่าไม่เป็นนัยยะสำคัญ)


ฉายภาพโครงสร้างการทำธุรกิจคร่าวๆของบริษัท Disney , Netflix และ บริษัทที่ใกล้เคียงต่างๆไปแล้วกลับมาที่ Disney+ จะล้ม Netflix ได้หรือไม่ เราขอแยกประเด็นต่างๆดังนี้

1. ซีรีย์หรือภาพยนตร์ที่ฉายมันคนละเรื่องกันเลย เราไม่คิดว่าคนที่อยากดูซีรีย์เกาหลีจะสมัคร Disney+ ในทางกลับกัน คนที่ต้องการดู Marvel ก็จะต้องสมัคร Disney+ อย่างแน่นอน ดังนั้นในยุคที่ คนดูเป็นคนเลือก Content เรามองว่าใครอยากดูอะไรก็จะสมัครในสิ่งที่ตัวเองต้องการจะดู มันเหมือนกับเราเปรียบเทียบว่ามีช่อง 3 แล้วจะล้มช่อง 7 หรือเปล่า ซึ่งใครใคร่ดูอะไรก็จะสมัครสิ่งที่จะเขาจะดูสิ่งนั้นๆ


2. ราคา ล่ะมีปัจจัยแค่ไหน ต้องบอกว่าในต่างประเทศ ราคา Disney+ ปกติอยู่ที่ประมาณ 8 USD (ในประเทศแถบ SEA จะเป็น แพคเกจ Disney+ Hotstar ซึ่งราคาจะประมาณ 1-2 USD ต่อเดือน) ส่วน Netflix อยู่ที่ประมาณ 10 USD (แล้วแต่ความละเอียดและจำนวนจอที่ดูได้พร้อมกัน) ซึ่งอันที่จริงแล้ว Disney+ เปิดตัวมาในปลายปี 2019 และมาแรงในปี 2020 ซึ่งเป็นปีที่ Netflix ก็ยังเติบโตได้อย่างดีเยี่ยมในแง่ของ Subscriber เช่นกัน ซึ่งในปี 2021 การเติบโตของทั้งสองค่ายก็มีลดลงชัดเจน ซึ่งทาง Netflix มองว่า เกิดจากสองปัจจัย หนี่งเพราะในปี 2020 มีการเติบโตมากกว่าปกติทำให้ดึง Demand ปกติในปี 2021 ไปและ โควิดทำให้ซีรีย์หรือภาพยนตร์ใหม่ๆออกมาได้ช้าไม่ตรงกับแผนทำให้กระตุ้นการสมัครได้น้อย ซึ่งทางบริษัทมองว่าครึ่งปีหลังของ 2021 จะมีซีรีย์และภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่ๆออกมาได้ตามแผน ซึ่งเราเริ่มเห็นตัวแต่เดือน 6 แล้วว่าเริ่มมีซีรีย์ฟอร์มแรงๆออกมา ต่อเนื่อง อาทิ Lupin ภาค2 ซีรีย์ฝรั่งเศสที่ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม, Sweeth Tooth ที่ให้ทาง Warner ผลิต , Hospital Playlist ซีซั่น 2 ซีรีย์เกาหลี กับวงดนตรีวงหมอที่แสนอบอุ่น ที่ผลิตโดยค่าย TVN จากเกาหลี Too Hot to Handle ซีซั่น 2 ซีรีย์สุดร้อนแรงของหญิงสาวและชายหนุ่มกลุ่มหนึ่ง เป็นต้น ดูเพิ่มเติมได้ตามลิงค์ https://thethaiger.com/th/news/443377/

ซึ่งจริงๆแล้วการแข่งขันไม่ได้เพิ่งมีปีนี้แต่มีตั้งแต่ก่อนหน้านั้นด้วยซ้ำไป อย่าง HBOMAX , Prime Video ก็เปิดตัวมานานแล้ว หรือแม้กระทั่ง Disney+ เองก็เปิดตัวในปี 2019 แต่ Netflix ก็เติบโตได้ดีมาตลอด ซึ่งไม่เพียงแค่ Netflix แต่บริษัทอื่นๆในวงการ Streaming ก็เติบโตได้ดี ในมุมมองของผู้บริหาร Netflix เลยมองว่าการแข่งขันและคู่แข่งมีมานานแล้ว และแม้กระทั่งปีที่ Disney+ เปิดตัวก็ไม่ได้กระทบการเติบโตของ Netflix




3. จำนวนคนที่สมัคร Subscriber ยังถือว่าน้อยมาก มีการประเมินว่าปัจจุบัน ทีวีในช่องทางอื่นๆ ก็ยังมีส่วนแบ่งการตลาดมากกว่าแบบ Streaming มาก ยกตัวอย่าง Subscriber ของ Netflix ที่ประมาณ 207 ล้าน เป็นเอเชียซึ่งไม่นับจีนอยู่เพียง 20 ล้านโดยประมาณ ทั้งที่ประชากรในเอเชียมีมากกว่านั้นอีกหลายสิบเท่าหรืออาจจะถึงร้อยเท่าด้วยซ้ำ แสดงว่า Subscriber ของบริษัทต่างๆที่มีในตอนนี้ถือว่ายังน้อยมากถ้าเทียบกับประชากรที่แท้จริงโดยเฉพาะในฝั่งเอเชีย ซึ่งน่าจะมีจำนวนผู้สมัครไม่ถึง 5% ของประชากร ซึ่งต่างจาก ในทวีปอเมริการเหนือซึ่งน่าจะมีครัวเรือนที่มี Streaming เหล่านี้มากเกิน 50% เลยทีเดียว ดังนั้นคู่แข่งของ Netflix น่าจะเป็นการทำยังไงให้ประชากรที่เหลือเหล่านั้นสมัคร มากกว่าที่จะไปแข่งขันกับ Disney+



4. ศัตรูที่แท้จริงน่าจะเป็นการดูเว็บผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นการยากที่จะประเมิน แต่จากการเก็บข้อมูลของหลายๆแห่งชี้ตรงกันว่าจำนวนผู้ดูจากเว็บผิดกฎหมายมากกว่าจำนวน Subscriber มากซึ่ง น่าสนใจว่าทาง Netflix และ Disney+ จะมีวิธีจูงใจยังไงให้คนมาสมัครอย่างถูกต้อง


5. สิ่งที่บริษัท Netflix และ Streaming ค่ายต่างๆสนใจมากกว่าคู่แข่งคือทำยังไงให้ Subscriber ตัวเองมีความพึงพอใจในระดับที่สูงต่อเนื่อง และไม่คิดที่จะยกเลิกการสมัคร ซึ่ง แน่นอนว่าต้องเกิดจากการทำ Content ที่น่าสนใจอย่างต่อเนื่องนั่นเอง นั่นคือ Key สำคัญในการรักษาลูกค้าเก่าและการหาฐานลูกค้าใหม่ ดังนั้นตัวแปรสำคัญคือคุณภาพของ Content นั่นเอง ทำให้ Netflix เน้นเรื่องการผลิต Content มากๆ โดยการผลิต ซีรีย์ที่มีคุณภาพแทบจะเทียบเท่ากับภาพยนตร์ ไม่ว่าจะการเขียนบท นักแสดง คุณภาพการถ่ายทำการผลิต และผลิต Content คุณภาพยอดเยี่ยมแบบนี้ออกมาในปริมาณที่มากพอที่จะให้คนดูไม่จำเป็นต้องไปดูช่องหรือ Channel อื่นๆ ดูได้จากงานประกวดรางวัลทั้ง Emmy Awards และ Oscar ซึ่ง Netflix เข้าชิงและกวาดรางวัลอย่างมากมายในช่วงหลายปีหลัง



สรุปโดยภาพรวมเรามองว่า Disney+ ไม่ได้มาแข่งขันทำให้ Netflix ถูกล้มหรือว่ากระทบอย่างที่พูดๆกัน ทั้งตัว Content ที่แตกต่างและปริมาณ Content ที่แตกต่าง และบ้านๆหนึ่งก็อาจจะเป็นสมาชิกหรือว่าดูซีรีย์หลายค่ายได้เป็นเรื่องปกติ เราเชื่อว่า ด้วยความหลากหลายและคุณภาพของ Content ที่มีมากที่สุด Netflix จะเป็น Streaming หลักของคนทั่วไป ซึ่งแน่นอนว่าเราอาจจะ Subscribe เพิ่มอีกสัก 1-2 ค่ายตามแต่ความชอบ เพื่อนล่ะยัง Subscribe Netflix อยู่หรือเปล่าเมื่อ Disney+ มา

 

ติดตาม และอ่านบทความอื่นๆของพวกเรา Frisbee & Co. ได้ที่ LINE Official: @frisbee Twitter: @FrisbeeCo Website: frisbeeandco.com

73 views0 comments

Comentarios


bottom of page