วันนี้ Frisbee จะมาแนะนำ Product หรือว่าบริการตัวหนึ่งในเครือ Apple คือ Apple TV+ ซึ่งมันคือ Streaming ของ บริษัท Apple ที่จะมาต่อสู้กับ Disney+ , Netflix , HBO Max ประมาณนั้น ซึ่งมันคือคนละอย่างกับ Apple TV นะครับ Apple TV เป็นกล่องที่ต่อเข้ากับ TV เพื่อใช้เก็บแอพ สำหรับเล่นบน TV ซึ่ง Apple TV ก็ไม่ใช่ TV นะครับมันคือกล่องสำหรับ Stream สิ่งต่างๆขึ้นไปบน TV ซึ่งมันจะต่อเข้ากับ TV ผ่านสาย HDMI ตอนนี้ Apple TV Version ล่าสุดสามารถ Stream ได้ถึง 4K แล้ว ในช่วงหลายปีหลัง โดยเฉพาะตั้งแต่ปี 2018 เป็นต้นมา เราใช้บริการ Streaming เพิ่มขึ้นมหาศาล บริษัท Apple ซึ่งแต่เดิมผลิตภัณฑ์หลักก็คือ iPhone iPad iMac MacBook ซึ่งเป็น Hardware ก็ต้องการจะขยายธุรกิจเข้าสู่ธุรกิจที่ให้บริการมากขึ้นเพราะว่าจะสามารถเก็บเงินเป็นรายเดือนได้ต่อเนื่องไม่ต้องไปขายใหม่ ซึ่งจะสังเกตได้ว่าสามสี่ปีหลังสุดเราใช้เงินจ่ายเกี่ยวกับ App หรือบริการต่างๆมากขึ้นเรื่อยๆ ยกตัวอย่าง เราเช่า iCloud มากกว่าเมื่อก่อนมาก อีกหนึ่งบริการที่ทาง Apple มองว่ามาแรงในยุคนี้ก็คือ Streaming พวกหนัง ซึ่งทาง Apple ก็เลยประกาศว่าจะมี Apple TV+ ซึ่งเป็นบริการตัวใหม่ซึ่งเป็น Streaming ของ Apple เองในเดือน มีนาคม 2019 และเปิดให้บริการ Apple TV+ ในเดือน พฤศจิกายน 2019 เรียกว่าเปิดตัวแทบจะพร้อมกับ Disney+ เลยทีเดียว แต่ว่าแตกต่างในความนิยมอย่างสิ้นเชิง
หลังจากที่เปิดให้บริการ Apple TV+ แทบจะไม่ได้รับความนิยมใดๆเลย ต่างกับ Disney+ ที่โหมทำการตลาดและหาพาร์ทเนอร์อย่างหนัก การตลาดที่ทาง Apple TV+ ทำก็คือแถมไปกับคนที่ซื้ออุปกรณ์ Apple หรือไม่ก็ขายพ่วงไปกับแพคเกจ Apple One ซึ่งเป็นการขายพ่วงไปกับ iCloud ซึ่งคนจำเป็นต้องใช้อยู่แล้ว สิ่งที่คนพูดตอนนั้นก็คือเข้าไปแล้วไม่รู้จะดูอะไร หรือไม่ก็เป็น Streaming ที่แม้แต่แถมยังไม่มีใครเข้าไปดู ยอด Subscriber เกือบทั้งหมดเข้าใจว่าก็มาจากการแถมบ้าง ขายพ่วงไปกับอย่างอื่นบ้าง แถมยอดคนเข้าไปดูก็แทบไม่มีไม่มีกระแสอะไร ซึ่ง Apple ไม่ได้พยายามหาซีรีย์หรือหนังดังๆเข้ามาใน Apple TV+ เลยแต่สิ่งที่ Apple ทำกลับต่างออกไปจาก Streaming เจ้าอื่นๆ
การทำ Streaming แนวทางที่เจ้าอื่นๆทำก็คือหาพาร์ทเนอร์ช่วยขาย เช่น พวกค่ายโทรศัพท์มือถือ หรือพวกเครือข่าย Internet ส่วน Content ก็มักจะไปเช่ามา หรือบางทีก็เป็นค่ายภาพยนตร์ที่หันมาเปิดให้บริการ Streaming ของตัวเองบ้าง เนื่องจากตัวเองมีภาพยนตร์เยอะมากอยู่แล้ว และก็เพิ่มการสร้างคอนเทนต์ใหม่ๆเข้ามาบ้าง เพื่อทำเป็น Original Content ของตัวเอง แต่ทาง Apple TV+ เองไม่ใช่ผู้ผลิตภาพยนตร์หรือซีรีย์มาก่อน และแทบไม่ได้ไปหาภาพยนตร์หรือซีรีย์จากที่อื่นมาเลย ทำให้มันกลายเป็น Streaming ที่ว่างเปล่า คือมันไม่มีอะไรให้ดูจริงๆ
สิ่งที่ Apple TV+ ทำก็คือ การสร้าง Content ให้มีคุณภาพสูงสุดๆ ของตัวเองในแนวทางเดียวกับที่สร้าง iPhone ให้เป็นโทรศัพท์ที่ดีที่สุด หรือสร้าง iPad ให้เป็น Tablet ที่ดีที่สุด ซึ่งในขณะที่คนอื่นกำลังทุ่มเงินสร้างซีรีย์จำนวนมาก มากทั้งในด้านของจำนวนและเม็ดเงินที่ทุ่มลงไป
Apple TV+ เลือกที่จะสร้าง Content ไม่มากแต่เน้นไปที่คุณภาพของ Content ประสิทธิภาพการ Stream และการคัดเลือก นักแสดงและการเขียนบท ซึ่งทำให้เริ่มมี ซีรีย์และ Documentary เยี่ยมๆออกมาเรื่อยๆ แม้ไม่มากแต่เริ่มเป็นที่จดจำ อย่าง Earth at Night In Color ที่เป็นสารคดีชีวิตของสัตว์ในตอนกลางคืน ให้ได้เห็นกันแบบภาพสีชัดเจน ไม่ใช่ภาพขาวดำ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยากมากในการถ่ายทำภาพชีวิตสัตว์น้อยใหญ่ ในตอนกลางคืนให้เห็นเป็นภาพสีชัดเจน ทำให้เราเห็นพฤติกรรมต่างๆของสัตว์ในแบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน ทาง Apple เองก็ได้ถ่ายทำออกสวยงามมาก โชว์นวัตกรรมการถ่ายทำอย่างสุดพิเศษ หรือ Tiny World ซึ่งเป็นสารคดีที่ใช้เวลาในการถ่ายทำร่วม 10 ปี เพื่อให้คนได้เห็นมุมมองถ้าเกิดว่าคุณเป็นแมลงคุณจะเห็นเห็นภาพยังไง แน่นอนว่าสารคดีสองเรื่องนี้ได้รับรางวัลและเข้าชิงรางวัลจากหลายแห่งมาก
ส่วนในฝั่งซีรีย์ ก็ทำซีรีย์ที่มีความน่าสนใจอย่าง See ซึ่งเริ่มทำต่อเนื่องและมีบทที่พิเศษเกี่ยวกับโลกที่ทุกคนตาบอด และการมองเห็นเป็นความผิด แสดงนำโดย Jason Momoa ที่เคยรับบทเป็น Aqua Man และ Kharl Drogo จาก Game of Thrones มาก่อน นอกจากนี้ ยังมี The Morning Show ซีรีย์ดรามา ที่ได้ Jennifer Aniston กับ Reese Witherspoon แสดงนำ และนั่งแท่นเป็น Executive Producers ร่วมกัน ซึ่งได้รับความนิยมที่ดี และทำให้ Jennifer Aniston เองได้โชว์ฝีมือการแสดงจนได้รับรางวัล SAG Awards สาขา Outstanding Performance by a Female Actor in a Drama Series ซึ่งนี่คือการรับรางวัลนี้เป็นครั้งที่ 2 ของ เธอ ครั้งแรกคือเมื่อปี 1996 จากบทบาท Rachel Greene ในเรื่อง Friends นอกจากนั้ Tim Cook เองก็บอกว่าชื่นชอบ The Morning Show เป็นอย่างมาก
จะสังเกตได้ว่า Apple ไม่ได้เร่งทำการตลาด Apple TV+ และไม่ได้เร่งสร้าง Content แต่พัฒนาเรื่องคุณภาพทั้งเรื่องของ Content และการ Stream จนทั่ง Content มีคุณภาพสูงมาก และภาพที่ได้จากการ Stream สูงอย่างเหลือเชื่อ(บางคนบอกว่าอย่างกับดูในโรง IMAX) เน้น Casting นักแสดงที่ตรงกับบท และมักจะเป็นนักแสดงที่คนอเมริการัก เราเชื่อว่าทาง Apple มองว่าเขาต้องประสบความสำเร็จที่อเมริกาก่อนที่เป็นที่แรก แต่ก็ยังไม่ได้เปรี้ยงปร้างเป็นกระแสอะไรจนกระทั่งมาถึง Ted Lasso ซีรีย์ดรามา คอมเมดี้ ที่ออกฉายในเดือน สิงหาคม 2020 และได้รับความนิยมอย่างถล่มทลาย จนกลายเป็น Pop Culture ของคนอเมริกาทีเดียว
Ted Lasso เป็นซีรีย์ที่เกี่ยวกับโค้ชอเมริกันฟุตบอล จากเมืองแคนซัส รัฐมิสซูรี สหรัฐอมเริกา (รับบทนำโดย Jason Sudeikis) ซึ่งไม่เคยคุมทีมฟุตบอลแบบอังกฤษมาก่อน ต้องตกกระไดพลอยโจนไปคุมทีมฟุตบอลในดินแดนแห่งฟุตบอลอย่าง Premier League ที่อังกฤษ หลังจากที่ Ted Lasso ออกฉาย Apple TV+ ก็กลายเป็น Streaming ที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมาก พร้อมทั้งมีดารารับเชิญที่เป็นคนดังในวงการฟุตบอลอังกฤษจริงๆมาร่วม และคนก็เริ่มเข้าใจว่า Apple ทำ Apple TV+ เพื่อให้คนเข้าไปดู Content คุณภาพของตัวเองโดยไม่ได้หวังว่าจะมี Content ครบทุกๆเรื่องเหมือนที่เจ้าใหญ่อื่นๆพยายามจะทำ ซึ่งแน่นอนว่าหลังจากจบซีซั่นแรก 10 ตอนไป ทาง Apple ก็ประกาศสร้าง Ted Lasso ซีซั่น 2 ตามมาทันทีในขณะที่กำลังฉายซีซั่น 2 ในช่วงเดือนกันยายน 2021 Ted Lasso ซีซั่นแรกก็กวาดรางวัล Emmy Award รางวัลใหญ่ทั้งหมด ในส่วนของ คอมมิดี้ซีรีย์ทั้งหมด อย่างยิ่งใหญ่ ทำให้ในงาน Emmy Awards ในปี 2021 คือการแจ้งเกิดของ Apple TV+ เลยทีเดียว
แน่นอนว่าในช่วงที่ฉายซีซั่น 2 ที่เริ่มนำนักฟุตบอลหรือเซเลบระดับตำนานของวงการอย่าง Thierry Henry กับ Jose Mourinho หรือแม้กระทั่งผู้ตัดสินที่ใครหลายๆคนทั้งรักทั้งเกลียดอย่าง Mike Dean มาร่วมแสดงด้วย และคาดว่าเป็นตัวแต็งที่จะคว้ารางวัล Emmy Awards ในปีถัดไป ทาง Apple ก็ประกาศทำ Ted Lasso ซีซั่น 3 ต่อทันที แม้กระทั่งงานเปิดตัว iPhone 13 ในช่วงเดือน กันยา 2021 ทาง Apple เองก็เริ่มด้วยการพูดถึง Apple TV+ จาก Tim Cook และแน่นอนหนึ่งในซีรีย์ที่โดนนำมาพูดเปิดในงานเลยก็คือ Ted Lasso ในเรื่องจำนวน Subscribers ทาง Apple ไม่เคยเปิดเผยจำนวน แต่เชื่อว่ามี Subscriber ประมาณ 20 ล้านใน อเมริกาและ แคนาดา โดยในปี 2020 Apple ขาย iPhone ไปมากกว่า 200 ล้านเครื่อง ซึ่งคนเหล่านั้นสามารถดู Apple TV+ ฟรี 3 เดือน
ในช่วงปลายปี Apple TV+ ก็ออกซีรีย์และภาพยนตร์ที่น่าสนใจต่อเนื่องทั้ง Foundation ที่สร้างจากนวนิยายที่ได้รับรางวัลของ Isaac Asimov ซึ่งแน่นอนว่าการตอบรับยอดเยี่ยม และ Finch ภาพยนตร์ของ Tom Hanks ที่จะเข้าฉายในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2021
มาถึงตรงนี้เพื่อนๆคงเริ่มรู้จัก Apple TV+ ไปบ้างแล้ว และคงไม่สับสนกับ Apple TV ซึ่งเป็นคนละอย่างกัน ในบทความนี้เราได้นำเสนอมุมมองของการสร้าง Streaming ในอีกแนวทางหนึ่งของ Apple TV+ ทั้งเรื่องการตลาดที่ไม่ใช้พันธมิตรแต่เลือกที่จะให้แถมไปกับคนที่ซื้อ iPhone และ iPad แทน การทำ Content ที่เน้นสร้างไม่เน้นเช่าหรือซื้อเหมือนที่อื่นๆ และคุณภาพของการสร้างที่นำเสนอสูงกว่ามาตรฐานทั่วๆไปอย่างมาก เพื่อนๆมอง Apple TV+ ยังไงกันบ้าง พอจะมีลุ้นไปสู้กับ Streaming เจ้าอื่นๆมั๊ย
ติดตาม และอ่านบทความอื่นๆของพวกเรา Frisbee & Co. ได้ที่ LINE Official: @frisbee Twitter: @FrisbeeCo Website: frisbeeandco.com
Comments