1. มี Platform การขายเป็นของตัวเอง
หากเราต้องการใช้ Streaming เจ้าอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น Prime Video ของทางฝั่ง Amazon หรือ HBO Go จากเคเบิ้ลทีวียักษ์ใหญ่สัญชาติอเมริกันอย่าง HBO เราจำเป็นต้องสมัครใช้บริการผ่านทาง App Store หรือ Google Play Store บ้างก็หันมาทำโปรโมชั่น หรือแพคเก็จต่างๆกับค่ายมือถือ เช่น ในสหรัฐอเมริกา Disney + ก็มีการทำโปรโมชั่นไปกับค่ายมือถือยักษ์ใหญ่อย่าง Verizon วิธีการทำโปรโมชั่น หรือขายร่วมไปกับช่องทางอื่นๆที่มีอยู่แล้ว มีข้อดีคือการเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่ตามมาก็คือค่าหัวคิว ที่มี 15-30% ทำให้เจ้าของ Streaming เองรับรายได้แบบไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่ผู้นำด้าน Streaming อย่าง Netflix นั้น เริ่มทำธุรกิจด้วย Platform ของตัวเอง ทำให้ถ้าเราต้องการใช้บริการ Netflix เราต้องทำการซื้อ หรือ Subscription ผ่านเว็บไซต์ หรือ Application ของ Netflix เอง ในมุมมองส่วนตัวเชื่อว่า เมื่อ Streaming เจ้าอื่นๆ ก็อยากที่จะทำธุรกิจผ่านช่องทางของตนเองด้วยกันทั้งนั้น เพราะได้รายได้มากกว่า ไม่จำเป็นต้อง แบ่ง Margin ให้กับใคร แต่ในระยะเริ่มต้นจำเป็นต้องการเพิ่มจำนวน User หรือ Subscriber ก่อน จึงทำให้ต้องพึ่งพาช่องทางของคนอื่นในการช่วยขาย เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ก็ทำให้เป็นการยากอยู่เหมือนกัน ถ้าจะเปลี่ยนมาทำการขายผ่านช่องทางของตัวเอง ดังนั้นนี่จึงเป็นความแข็งแกร่งอย่างมากที่ Netflix สามารถขายของผ่านเว็บตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งนายหน้า หรือ Marketplace ต่างๆ
2. Netflix ให้บริการลูกค้าทั่วโลกด้วยมาตรฐานเดียวกัน
เนื่องจากความพยายามที่จะเพิ่มจำนวน Subscriber ของตนเอง ทำให้ Streaming เจ้าอื่นๆ ต้องทำโปรโมชั่นควบคู่กับสิทธิพิเศษ หรือบริการอะไรบางอย่าง ทำให้บางครั้งผู้ใช้บริการในแต่ละมุมโลกได้สิทธิไม่เหมือนกัน เช่น ถ้าหากเราสมัครใช้ Prime Video ในสหรัฐอเมริกา เราจะต้องจ่ายเงินที่ประมาณ 12 USD ต่อเดือนและจะได้สิทธิพิเศษในการส่งของจาก Amazon ฟรีมาด้วย แต่ในไทย ค่าใช้จ่ายในการใช้ Prime Video อยู่ที่ประมาณ 6 USD ต่อเดือน เท่านั้น แต่ไม่ได้รับบริการในส่วนของการส่งของ หรือ สำหรับ Disney+ ในแต่ละประเทศก็มีหลากหลายแพคเกจมาก และมีหลากหลายราคาด้วยเช่นกัน อย่างในอินเดียก็จับมือกับค่าย Star ทำให้ดูคริกเก็ตได้ด้วย หรือมี แพคเกจสามารถดู โฆษณาแล้วไม่ต้องจ่ายเงินก็มี แพคเกจเหมารายปีก็ได้ส่วนลด ราคาก็แตกต่างกันอย่างมาก เช่นในสหรัฐอเมริกา Disney+ ราคาประมาณ 8 USD ต่อเดือน มาในประเทศอินโ ราคาประมาณ 3 USD ต่อเดือน และมี Local content บางอย่างแถมเข้ามา แต่สำหรับผู้ใช้บริการของ Netflix นั้น ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ใดบนโลก ราคา หรือแพคเกจต่างๆที่ Netflix ให้บริการ ถือได้ว่าแทบจะไม่มีความแตกต่าง และมักจะไม่ค่อยมีโปรโมชั่นรายปี ส่วนที่ต่างกันบ้างเพียงเล็กน้อยนั้น อาจจะมาจากเรื่องลิขสิทธิ์ของตามแต่ละประเทศเท่านั้นเอง
3. Netflix มีจำนวน Subscriber มากที่สุดในโลก
ปัจจุบันในปี 2021 Netflix ถือว่าเป็นผู้ให้บริการด้าน Streaming ที่เรียกได้ว่ามีจำนวน Subscriber มากที่สุดในโลก ที่ 200 ล้านคน ซึ่งนับว่าเป็นจุดเด่นอีกหนึ่งอย่างที่แข็งแกร่งของ Netflix เพราะการมีจำนวน Subscriber ที่มหาศาลขนาดพอๆกับจำนวนประชากรทั้งหมดของประเทศบราซิล นอกจากจะแปลว่ามีรายได้ที่มากมายอย่างแน่นอนแล้ว และเมื่อลองนำมารวมกับจุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของ Netflix ที่ขายผ่านช่องทางของตัวเอง ทำให้ Netflix นั้นรับกำไรไปเต็มๆ
4. Netflix มีภาพยนตร์ และซีรีย์ให้เลือกสรรอย่างหลากหลายที่สุด
เนื่องจากจุดกำเนิดของ Netflix ไม่ใช่ค่ายหนัง หรือเคเบิ้ลทีวี แต่หากเป็นเพียงร้านให้เช่าวีดีโอทางเว็บไซด์เท่านั้น ทำให้ Netflix สามารถนำเสนอสื่อได้อย่างหลากหลาย ไม่ต้องมุ่งเน้นไปที่การพยายามทำการตลาดให้กับหนังแฟรนไชส์ของตัวเอง อย่างที่ค่ายหนังชอบทำกัน เช่น Disney ก็มักจะทำภาคต่อของจักรวาล Marvel ไปเรื่อยๆ หรือการสร้างแฟรนไชส์แบบ Star Wars หรือว่าจะเป็น Warner Brothers เองที่พยายามที่จะสร้างหนังแฟรนไชส์จากจักรวาล DC เช่นกัน การที่ไม่มีข้อจำกัดตรงนี้ ทำให้ Netflix สามารถนำเสนอ และพัฒนา Content ของตนเองเพื่อให้ถูกใจผู้ชมได้แบบไม่จำกัด ด้วยการวิจัย และเก็บข้อมูลจาก Subscriber ว่าชอบอะไร ไม่ชอบอะไร สนใจอะไร ทำให้เกิดภาพยนตร์ หรือซีรีย์ใหม่ๆมากมาย โดยไม่ยึดติดกับเนื้อเรื่อง หรือตัวละครเดิมที่เคยมีมาอยู่แล้ว แต่เน้นไปที่การสร้างความแปลกใหม่ สร้างบทใหม่ๆ ตัวละครใหม่ๆ ที่เป็นไปตามความต้องการของผู้ชมอย่างแท้จริง
5. Netflix ผลิตภาพยนตร์ และซีรีย์ แบบไม่จำกัดสัญชาติ
เดิมทีหากพูดถึงภาพยนตร์ดีๆสักเรื่องของทางฝั่งอเมริกา เราอาจจะนึกถึง Columbia Pictures แอนิเมชั่นที่น่าประทับใจจะต้องเป็นของ Pixar หรือถ้าเป็นฝั่งญี่ปุ่นเราอาจนึกถึง Studio Ghibli หรือซีรีย์ที่เข้มข้นจากทาง tvN ของเกาหลีใต้ แต่ Netflix ได้พัฒนาตัวเองจากความเป็น Local สู่การได้รับความนิยมแบบ Global เพราะ Netflix ผลิต Original Content ของคนหลายๆชาติออกมาอย่างต่อเนื่อง และสามารถทำเรตติ้งจากคนที่รับชมในประเทศนั้นๆ หรือทั่วโลกไปพร้อมๆกันได้ เช่น ซีรีย์ที่เกี่ยวข้องกับจอมโจรสุดแสนฉลาดอย่าง Lupin ที่ใช้นักแสดง และถ่ายทำที่ฝรั่งเศสแต่ได้รับความนิยมทั่วโลก หรือ White Tiger จากทางฝั่งอินเดีย ที่จิกกัดและสะท้อนความเหลื่อมล้ำในสังคมอินเดียได้อย่างแสบสัน และลุ่มลึก หรือแม้กระทั่งของไทยเอง Netflix ก็ทำ Original Content อย่าง The Stranded “เคว้ง” ที่ได้ดารานำชายวัยรุ่นชื่อดังอย่าง มาร์ช จุฑาวุฒิมาร่วมงาน และเป็นเรื่องแจ้งเกิดของดาราวัยรุ่นอย่าง “นิ้ง ชัญญา แม็คคอลรีย์” หรือ Voice “สัมผัสเสียงมรณะ” ที่ได้นางเอกสาวสวย แพนเค้ก เขมนิจ มาร่วมงานด้วย และที่จะไม่พูดถึงไม่ได้คือ Original Content สายเกาหลี อย่าง Crash Landing On You ที่ทำเอาแฟนคลับสหายผู้กอง ฮยอนบิน ฟินจิกหมอนไปตามๆกัน เรียกว่าแทบจะบินไปหาแฟนที่เกาหลีกันเลยทีเดียว หรืออีกเรื่องที่เป็นการประกบคู่กันของ ซอเยจี นางเอกเอวไซส์ S กับนายต่างดาว ใน It’s OK not to be Ok ก็ได้รับเรตติ้งถล่มทลาย
Lupin -โอมาร์ ไซ
The Stranded“เคว้ง” ที่ได้ดารานำชายวัยรุ่นชื่อดังอย่าง มาร์ช จุฑาวุฒิมาร่วมงาน
หรือ Voice “สัมผัสเสียงมรณะ” ที่ได้นางเอกสาวสวย แพนเค้ก เขมนิจ มาร่วมงานด้วย
Crash Landing On You ที่ทำเอาแฟนคลับสหายผู้กอง ฮยอนบิน ฟินจิกหมอนไปตามๆกัน
ซอเยจี นางเอกเอวไซส์ S กับนายต่างดาว ใน It’s OK not to be Ok
6. ราคาแพง แต่ไม่มีใคร Unsubscribe
นอกจากต้องทำการตลาดผ่านโปรโมชั่น หรือบริการเสริมอื่นๆแล้ว Streaming เจ้าอื่นๆ ยังสามารถคิดค่าบริการเฉลี่ยที่ 5-7 USD เท่านั้น แต่ Netflix นอกจากจะมี Subscriber เป็นจำนวนมากที่สุด และอัตราการ Unsubscribe ที่ต่ำแล้วด้วยนั้น ยังสามารถคิดค่าบริการได้มากถึง 13-17 USD เลยทีเดียว นับได้ว่ามากกว่าคู่แข่ง 2-3 เท่า ที่สำคัญรายได้ตรงนี้ Netflix เป็นคนเดียวที่ได้รับเต็มๆ เพราะทำการขายผ่าน Platform ของตัวเอง แม้กระทั่งในปลายปี 2020 ทางบริษัทได้ขึ้นราคาในฝั่งสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นอีก 1 USD ต่อเดือน แต่ที่น่าสนใจคือ แม้ว่าจะขึ้นราคา แต่อัตราการยกเลิกสมาชิกก็ยังถือว่าต่ำมาก และยิ่งไปกว่านั้น Netflix มีให้บริการแต่แพคเกจรายเดือน ซึ่งต่างจาก Streaming เจ้าอื่นๆที่ชอบขายลดราคาถ้าสมัครสมาชิกรายปี แต่ถึงอย่างไร Netflix ก็ยังมีอัตราการยกเลิกต่ำมากอยู่ดี ต้องมาดูกันต่อไปว่า นโยบายที่ทางบริษัทเริ่มไม่ให้แบ่งบ้านกันดูจะมีผลต่อการยกเลิกหรือไม่ในอนาคต เพราะทางบริษัทเริ่มเอาจริงกับพวกที่แบ่งบ้านต่อมีการยืนยันตัวตนเพิ่มอีกครั้งในอนาคตอันใกล้นี้
7. เป็นองค์กรที่พร้อมเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
ถ้าหากเรามีความเชื่อว่าบริษัทที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องนั้นคือบริษัทที่ดีแล้วล่ะก็ Netflix คงเป็นองค์กรที่มหัศจรรย์อย่างมาก เพราะ Netflix ไม่ได้เป็นองค์กรที่พัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องเพียงอย่างเดียว เพราะ Netflix เป็นองค์กรที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย สิ่งที่ชัดเจนที่สุดคือการเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆถึง 3 ครั้งด้วยกัน
- ครั้งแรก Netflix เปลี่ยนจากกส่ง DVD ให้เช่าเป็นรายครั้ง มาเป็นการให้บริการแบบ Streaming และ Subscribe รายเดือน
- ครั้งที่สอง Netflix เปลี่ยนจากการทำ Streaming เฉพาะในสหรัฐอเมริกา เป็นการทำ Streaming ที่คนทั้งโลกเข้าถึงได้
- ครั้งที่สาม Netflix เปลี่ยนวิธีการทำ Content จากการซื้อลิขสิทธิ์ภาพยนต์และซีรีย์ต่างๆ มาเป็นการทำ Netflix Original ที่ได้รับความนิยมอย่างมากมาย เนื้อหาตรงใจผู้ชม สร้างดารานักแสดงหน้าใหม่ขึ้นมาประดับวงการ และยังสามารถดึงดาราชื่อดังอย่าง Chris Hemsworth หรือ Charlize Theron มาร่วมงานได้
ในประเด็น 3 ข้อที่กล่าวมา ทำให้มีความน่าสนใจหรือเชื่อได้ว่า Netflix จะสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง ซึ่งนับว่าเป็นคุณสมบัติที่สำคัญ หากมีเหตุการณ์ หรือวิกฤติต่างๆเข้ามากระทบ ก็เชื่อได้ว่า ด้วยความสามารถในการปรับตัวอย่างรวดเร็ว จะทำให้ Netflix ไม่เพียงแต่ข้ามผ่านวิกฤตเหล่านั้นไปได้ แต่ยังสามารถสร้างสิ่งใหม่ๆ ทันยุค ทันสมัย และเติบโตไปได้อย่างมั่นคง นอกจาก Netflix แล้วบริษัทดีๆ อย่าง Amazon เองที่มีกำไรจากธุรกิจ Cloud Service สูงกว่าการขายของออนไลน์ซึ่งเป็นธุรกิจต้นกำเนิดของตัวเอง หรือ Apple ก็มียอดขาย iPhone สูงกว่าคอมพิวเตอร์ iMac หรือ Macbook ของตนเอง รวมไปถึง Microsoft ที่ตอนนี้ก็รุกพัฒนาตัวเองเข้าสู่ธุรกิจเกมส์ และคลาวด์อย่างจริงจังเช่นกัน ดังนั้นไม่เพียงแต่การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง บริษัทที่ดีต้องพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้อย่างรวดเร็วด้วย แม้การเปลี่ยนแปลงนั้นจะหมายถึง การเปลี่ยนไปทำสิ่งใหม่ เปลี่ยนไปเป็นสิ่งใหม่เลยก็ตาม เพราะนั่นแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการอยู่รอด เติบโต และสร้างกำไรในระยาว
8. มีงบประมาณในการลงทุนสร้าง Content สูงที่สุดในโลก
ในปี 2021 นี้ Netflix ใช้งบประมาณในการลงทุนสร้างภาพยนตร์และซีรีย์สูงเป็นอันดับ 1 ด้วยมูลค่า 17,000 ล้าน ดอลล่าร์สหรัฐ ซึ่งทิ้งห่างอันดับ 2 แบบหลายช่วงตัว นั่นหมายความว่า Netflix ได้กลายเป็นบริษัท Production ผลิตภาพยนตร์ และซีรีย์ ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ไม่ใช่เป็นแค่ช่อง Streaming อีกต่อไป
แล้วเพื่อนๆเห็นจุดเด่นจุดด้อยของ Netflix และ Streaming ค่ายต่างๆอย่างไรกันบ้าง
ติดตาม และอ่านบทความอื่นๆของพวกเรา Frisbee & Co. ได้ที่ LINE Official: @frisbee Twitter: @FrisbeeCo Website: frisbeeandco.com
コメント